บล็อกของวันนี้ ขอแชร์ประสบการณ์ของผู้ที่เคยเป็นผู้ประกอบการ
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อหลายปีก่อน เพื่อนผมคนนึง เคยทำธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งทอ ซึ่งในตอนนั้นก็เพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆ ด้วยความที่ไม่รู้จักการทำธุรกิจ ก็เริ่มจากร้านเล็กๆ ในย่านการค้า ระยะแรกนั้น เป็นช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น เพื่อนผมมีรายได้วันละหลายหมื่นบาท ทำธุรกิจกับแฟน ก็เห็นว่าดี เริ่มมีสาขามากขึ้นในบริเวณใกล้เคียง
ทุกวันตอนเย็นหลังเลิกร้าน ก็มีที่ไปไม่กี่ที่ โรงงาน หรือ ห้างฯ ซึ่งเงินที่ได้มานั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเงินหมุนเวียน การหมุนเวียนนั้นประวิงไปด้วยเช็ค ตีเช็คล่วงหน้า ไม่ว่าจะการใช้จ่ายใดๆ แต่fix cost ที่ต้องมีทุกเดือนนั้นคือ ค่าเช่าที่แสนมหาโหด ด้วยเงื่อนไขที่สุดเห็นแก่ตัวของเจ้าของห้างที่นั้น
หลายเดือนผ่านไปเป็นปี เพื่อนผมคนนี้ สุขภาพจิตเริ่มแย่ ความเครียด เพราะขายไม่ดี แวดล้อมกดดัน ด้วย จนสุดท้าย ต้องเลิกกิจการไป
เหตุผลที่ต้องเลิกไป ประกอบไปด้วย สอง สาม ส่วนหลักๆ
อย่างแรกคือ ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนผมกับแฟน สิ้นสุดลง ด้วยเหตุผลบางอะไรบางอย่าง ที่ผมไม่อยาก(เสือก)ถาม
อย่างที่สอง ความผิดพลาดในการบริหารเงินหมุนเวียน และ ความไม่ได้ตระเตรียมธุรกิจขาลง ซึ่งมันเป็นเรื่องปรกติของ วงจรธุรกิจ
อย่างที่สาม เงินรั่วไหล ไปนอกระบบ ซึ่งประเด็นนี้ คือสิ่งที่เหมือนคุณปล่อยให้ปลวก กัดกินบ้านหลังน้อยของคุณ ถ้าคุณคิดว่า มันก็แค่ปลวก นั้นแหละ วันนึงจะพินาศ แค่เพราะคิดว่าปลวกตัวเล็กๆ
ผมจะขอวิเคราะห์ในสองส่วนหลังครับ
เรื่องแรก ความผิดพลาดในการบริหารเงินหมุนเวียน คือ นำเงินที่ได้จากธุรกิจ ไปใช้ส่วนตัว แทนที่จะแยกว่า อะไรคือเงินทำธุรกิจ และอะไรคือเงินรายได้ส่วนตัว เมื่อนำเงินทั้งหมดมารวมเป็นกระเป๋าเดียวกัน บอกคำเดียว บรรลัย ครับ เพราะคุณจะไม่ได้กำหนดว่า limit อยู่ตรงไหน ต้องจ่ายอะไร เมื่อไหร่ พอหมุนไม่ทัน ก็กลายเป็นต้องหยิบยืม หรือ เอาเงินจากในบัตรเครดิต(กดเงินสด) มาโป๊ะ ซึ่งนั้นคือ ความผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่สุด และเป็นวิธีที่ผิดพลาดอย่างมหาศาล
และมีหลายคนที่กำลังเดินทางสายนี้ คือ นำเงินทำธุรกิจ เอามาใช้ส่วนตัว และไม่รู้ตัวว่ากำลังเดินเข้าสู่กับดักของการล้มละลาย
เรื่องที่สอง เงินรั่วไหล ไปนอกระบบ เป็นsubset ของปัญหาแรก แต่จะมองจริงๆ มันก็เรื่องเดียวกัน แต่เหตุผลที่มาที่ไป ต่างกัน ถามว่าต่างกันอย่างไร เพื่อนผมเล่าให้ฟังภายหลังว่า เนื่องด้วยแฟนของเขา มีผู้ใหญ่ที่บ้าน ที่ต้องดูแล ไม่ได้ทำงาน เลยต้องนำรายได้ เอาไปให้ผู้ใหญ่ที่บ้านใช้จ่ายดูแล ซึ่งประกอบด้วยรถอีกคันที่ต้องผ่อนอีก และตอนนั้นที่เพื่อนผมทำธุรกิจ ก็มีรถที่ไว้ใช้งาน ที่ต้องผ่อนอีก สรุปว่า ต้องผ่อนรถถึงสองคัน ยามที่ธุรกิจขาลง เพื่อนผมเริ่มส่งค่ารถช้าบ้าง โดนปรับบ้างไปตามสภาพ
ตอนนั้นก็ไปซื้อcourse กิจกรรมต่างๆ เป็นเงินหลายบาทอยู่ ในตอนที่ธุรกิจรุ่งเรือง บอกเลยว่า เป็นการกระทำที่ไม่มีวินัยในการทำธุรกิจเลย
ผมได้ฟังแล้วก็ใจหาย กับเงินที่เสียหายไป วิเคราะห์แล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านไป เพื่อนผมคนนี้หมดเงินไปกับการทำธุรกิจนั้น หลายล้านบาท แต่สิ่งที่เขาได้คือ เงินไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง
แต่ประสบการณ์ เรื่องราว นั้น มันมีค่า มาก และสามารถเอามาบอกเล่า ให้หลายๆคนที่กำลังจะดำเนินทางผิดให้กลับตัวใหม่
ทุกวันนี้เพื่อนผมคนนี้ มองเห็นคนใกล้ๆตัว และพยามบอกผมว่า อย่าให้เขาเหล่านั้น ต้องเป้นอย่างทีเขาเคยเป็น เวลาที่คุณตกต่ำ คุณสามารถทำอะไรก็ได้ และผลที่ออกมา มักออกมาในแง่ร้าย
นิสัย สันดานเสียๆ ความหยาบคาย กระด้าง เหมือนหมาบ้า
เพื่อผมนั้นผ่านมาแล้วทุกรูปแบบ ฉะนั้น เวลาที่เขาเห็นใครเสียสติแบบนี้ เขามักจะเข้าใจ แล้วพูดแรงๆใส่แทนเพื่อให้คนเหล่านั้นเรียกสติกลับมา
สรุปตามนี้
เสียสติเพราะหลงในกับดักของคำว่า จมไม่ลง
ถ้าลดลงในเรื่องความฟุ้มเฟือยได้ ก็ต้องถอยเพื่อตั้งหลัก
และยืนให้มั่นคง เพื่อตั้งรับกับปัญหาด้วยสติ
นั้นคือวิธีแก้ปัญหา และหาต้นตอของปัญหา แล้วแก้มันด้วย ปัญญา และะ สติ
C L I C K
nuffnang_bid = "5f393f24361c7c8f9011072c0c28f82e";
document.write( "" );
(function() {
var nn = document.createElement('script'); nn.type = 'text/javascript';
nn.src = 'http://synad2.nuffnang.co.th/lb.js';
var s = document.getElementsByTagName('script')[0]; s.parentNode.insertBefore(nn, s.nextSibling);
})();