C L I C K

Friday 5 April 2019

ทำไมธุรกิจต้องใส่ใจสิทธิของ LGBT

ทำไมธุรกิจต้องใส่ใจสิทธิของ LGBT
งาน Pink Dot ได้รับการสนับสนุนจำนวนมากจากภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นบริษัท Google และ Twitter รวมถึงสถาบันการเงินข้ามชาติ เช่น J.P. Morgans, Barclays และ Goldman Sachs


ธุรกิจสามารถและควรจะเป็นผู้นำในความพยายามระดับโลกที่จะบรรลุสิทธิที่เท่าเทียมของกลุ่ม LGBT[i] การดำเนินงานของบริษัทข้ามชาติสามารถช่วยสร้างความเท่าเทียมและเปิดโอกาสให้กับ LGBT ทั่วโลก ปัจจุบันธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่งต่างเดินเข้าหาโอกาสดังกล่าว โดยประกาศตัวเป็นธุรกิจที่ไม่ลิดรอนสิทธิ LGBT โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริหารระดับสูงและผู้นำองค์กร การเปิดกว้างเรื่อง LGBT แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และยังสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อการดำเนินงานของธุรกิจ 
หลายคนอาจจะยังสงสัยว่าการเปิดโอกาสที่เท่าเทียมให้กับกลุ่ม LGBT เกี่ยวข้องอย่างไรกับผลกำไรของธุรกิจ ผู้เขียนสรุป 3 เหตุผลที่บริษัทควรอ้าแขนรับ LGBT และให้สิทธิที่เท่าเทียมแก่กลุ่มคนเหล่านั้น ดังนี้

เหตุผลทางธุรกิจ
เป็นที่ทราบกันดีว่าตลาด LGBT ทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กลุ่มลูกค้า LGBT นับว่าเป็นกำลังซื้อที่สำคัญโดยมีงานวิจัยพบว่า ผู้บริโภค LGBT ร้อยละ 71 จะยอมจ่ายให้กับแบรนด์ที่ราคาแพงกว่าสินค้าทั่วไปเล็กน้อย หากแบรนด์นั้นสนับสนุน LGBT

นอกจากนี้ งานวิจัยของ Out Leadership[ii] พบว่า การสร้างตลาดที่เป็นมิตรกับ LGBT ถือเป็นโอกาสครั้งใหญ่ของธุรกิจ เนื่องจากชุมชน LGBT โลกเติบโตทั้งในแง่ขนาดและอิทธิพล แน่นอนว่าตลาดดังกล่าวประกอบด้วยครอบครัวและเพื่อนของกลุ่ม LGBT กลุ่มคนเหล่านี้ต่อต้านแบรนด์อย่าง Barilla ที่ประกาศว่าไม่เห็นด้วยกับความเท่าเทียมของกลุ่ม LGBT รวมถึงเชนฟาสต์ฟูดของอเมริกาอย่าง Chick-fil-A ที่ Dan Cathy กรรมการผู้จัดการของบริษัทประกาศต่อต้านสิทธิของ LGBT การกระทำดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีชี้วัดความพึงพอใจต่อแบรนด์ลดลงจาก76 เหลือเพียง 35 เท่านั้น
รักษาและดึงดูด ‘คนเก่ง’
ผู้ที่ประกาศตัวเป็น LGBT มีคุณลักษณะสำคัญคือความมั่นใจ เข้าใจความต้องการของตนเอง และมีความกล้าหาญ ทั้ง 3 คุณลักษระมีมูลค่ามหาศาลสำหรับธุรกิจที่มีหัวคิดก้าวหน้า ประชากร LGBT คิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 5 – 10 ของกลุ่มผู้มีศักยภาพสูง บริษัทที่ต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันในศตวรรษที่ 21 จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะดำเนินนโยบายที่เปิดโอกาสให้กลุ่ม LGBT รวมถึงวิธีปฏิบัติที่รักษาและดึงดูดกลุ่มผู้มีความสามารถเหล่านี้ไว้
การดำเนินธุรกิจโดยให้ความเท่าเทียมกับกลุ่ม LGBT จะเพิ่มศักยภาพของพนักงานโดยรวม มีการศึกษาว่า หากพนักงาน LGBT ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 41 ในพนักงานทั่วไป และสูงถึงร้อยละ 72 ในกลุ่มผู้บริหารระดับสูง ยังคงปิดสถานะทางเพศของตนเองในที่ทำงาน จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงร้อยละ 10 
ข้อเท็จจริงดังกล่าวสร้างต้นทุนของผลิตภาพในประเทศที่ปิดกั้นเรื่องการแสดงออกว่าเป็น LGBT เช่น ประเทศอินเดีย ที่สูญเสียผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Products: GDP)ราวร้อยละ 1.4 งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า การล้อเลียนหรือกดดันกลุ่มวิศวกร LGBT ในที่ทำงานจะทำให้ประเทศอังกฤษสูญเสียจีดีพีไปราว 17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี การศึกษาอีกชิ้นหนึ่งสรุปว่า พนักงานร้อยละ 73 ที่ไม่สามารถเปิดเผยว่าตนเองคือ LGBT ในที่ทำงาน มีแนวโน้มที่จะออกจากงานภายในหนึ่งปี โดยเฉลี่ยแล้ว ต้นทุนในการเปลี่ยนแปลงพนักงานในบริษัทอาจสูงถึง 3 เท่าของเงินเดือนที่บริษัทจ่าย 
ปัจจุบัน บริษัททั่วโลกต่างยื้อแย่งแข่งขันเพื่อดึงผู้มีความสามารถเข้ามาทำงาน การแบ่งแยกและความไม่เท่าเทียมในที่ทำงานคือความผิดพลาดที่บริษัทที่ยากจะยอมรับ โดยเฉพาะบริษัทที่คำนึงถึงความสามารถในการแข่งขันของตน นอกจากนี้ การเคลื่อนย้ายบุคลากรที่มีความสามารถสูงคือหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของบริษัทข้ามชาติ การที่ 79 ประเทศยังตีตราว่าการรักเพศเดียวกันเป็นเรื่องผิดกฎหมาย คือการสร้างกำแพงไม่ให้บุคลากรเหล่านั้นเข้าไปทำงานได้

สร้างความเท่าเทียม
ราคาหุ้นของบริษัทที่มีนโยบายเปิดกว้างให้กับ LGBT ส่วนใหญ่มักมีผลตอบแทนสูงกว่าตลาด กองทุน EQLT[iii] ของ Denver Investment แสดงให้เห็นว่าบริษัทที่เปิดกว้างในเรื่องของ LGBT จะมีผลตอบแทนดีกว่าตลาดในช่วง5 และ 10 ปีให้หลัง
เราเชื่อว่านโยบายที่เปิดกว้างเรื่องเพศ แสดงให้เห็นถึงการเปิดรับทุกกลุ่มคนไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือคนชายขอบ การศึกษา พ.ศ. 2558 โดยบริษัท McKinsey & Co พบว่าบริษัทที่มีความหลากหลายทางเพศมากที่สุด 25 เปอร์เซ็นต์แรกของตลาด มีความน่าจะเป็นที่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าค่ามัธยฐานของอุตสาหกรรม มากกว่าบริษัททั่วไปร้อยละ 15 สำหรับบริษัทที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ความน่าจะเป็นดังกล่าวเพิ่งขึ้นถึงร้อยละ 35 
อย่างไรก็ดี นโยบายที่เปิดรับ LGBT อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะปกป้องพนักงาน LGBT ในประเทศที่มีกฎหมายต่อต้านกลุ่มคนรักร่วมเพศ ผู้นำในบริษัทข้ามชาติจึงมีบทบาทสำคัญที่จะใช้ทักษะของผู้บริหารเพื่อเข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจในประเทศที่บริษัทดำเนินการอยู่ เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงในระดับท้องถิ่น เช่นการที่บริษัทสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มเรียกร้องความเท่าเทียมให้กับ LGBT ในประเทศเช่นสหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์
ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา Out Leadership ได้เข้าไปพูดคุยกับผู้บริหารบริษัทกว่า 145 คน และผู้นำกว่า 3,500 คนจากภาคธุรกิจในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก อย่างไรก็ดี ในขณะที่เราเห็นว่านักธุรกิจชั้นนำร่วมเดินหน้าผลักดันประเด็นความเท่าเทียมของ LGBT อย่างแข็งขัน Beth Brooke-Marciniak รองประธานฝ่ายนโยบายสาธารณะ บริษัท Ernst and Young แสดงความเห็นว่า “ไม่มีที่ไหนในโลกนี้ที่เราสามารถบอกว่าการทำงานเพื่อความเท่าเทียมของกลุ่ม LGBT นั้นเสร็จสิ้น ยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องทำงานต่อ” 
ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์จากทั้งภาคธุรกิจและภาครัฐซึ่งร่วมสนทนาประเด็นนี้ที่กรุงดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ต่างมีความสามารถที่จะสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อกลุ่ม LGBT ทั่วโลก และพวกเขาก็ควรทำเช่นนั้น เพราะการส่งเสริมความเท่าเทียมคือหนึ่งในแรงผลักดันต่อภาคธุรกิจ

เชิงอรรถ


[i] LGBT หมายถึงกลุ่ม หญิงรักหญิง (Lesbian) ชายรักชาย (Gay) ผู้รักคนทั้งสองเพศ (Bisexual) และผู้ข้ามเพศ (Transgender)

[ii] เครือข่ายที่ผลักดันสิทธิและความเท่าเทียมของกลุ่ม LGBT ในภาคธุรกิจ โดยเสนอว่าการสร้างความเท่าเทียมในบริษัทจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างผลตอบแทนทางธุรกิจ (Return on Equality)

[iii] EQLT Fund หรือ The Workplace Equality Portfolio คือกองทุนที่ลงทุนในบริษัทที่สนับสนุนความเท่าเทียมของ LGBT ในที่ทำงาน

หมายเหตุ: แปลและเรียบเรียงจาก “3 reasons why multinationals should invest in LGBT leaders”

credit:
https://prachatai.com/journal/2016/05/65819#_edn1https://thestandard.co/wp-content/uploads/2017/07/The-SD-web-l-template-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B2_cover_-2.jpg 
https://d1qq9lwf5ow8iz.cloudfront.net/live-images-1/ImageDetail_8ad2a038-fffe-4647-8879-87593be4d171_Medium

Wednesday 3 April 2019

LGBT เทรนด์ตลาดเติบโตใหม่สนองคนสีรุ้ง

LGBT เทรนด์ตลาดเติบโตใหม่สนองคนสีรุ้ง

ครั้งนี้ SCB SME จะมาแนะนำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มคน LGBT ที่มีอัตราการเติบโตและกลายเป็นธุรกิจที่น่าจับตามองในขณะนี้ 

LGBT เป็นคำย่อมาจากกลุ่มหญิงรักหญิง (Lesbian) ชายรักชาย(Gay) กลุ่มผู้รักคนทั้งสองเพศ (Bisexual) และกลุ่มผู้ข้ามเพศ(Transgender) นำมารวมเป็นกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพ และน่าจับตามอง 

จากข้อมูลของ LGBT-Captial.com เว็บไซต์ชื่อดังที่เป็นศูนย์รวมของ LGBT ที่ได้มีการประมาณการในช่วงเดือนสิงหาคม 2558 ระบุว่าปัจจุบันมีชาว LGBT ทั่วโลกราว 450 ล้านคน ตัวเลขกลุ่มนี้มีความน่าสนใจโดยเฉพาะในเอเชีย เนื่องจากมีจำนวนชาว LGBT สูงถึง 270 ล้านคน หรือเท่ากับ 60 % ของชาว LGBT ทั้งหมด โดยจีนเป็นประเทศที่มีจำนวนชาว LGBT สูงสุดถึง 85 ล้านคน ตามด้วยอินเดีย 80 ล้านคน ญี่ปุ่น 8 ล้านคน และประเทศไทยที่มีชาว LGBT สูงถึง 4 ล้านคน ซึ่งเป็นอันดับ 4 ในเอเชีย
ตัวเลขดังกล่าวของประชากร LGBT ในประเทศไทยที่อ้างอิงรายได้จาก LGBT Capital ระบุว่ามีรายได้สูงถึง 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6 แสนล้านบาท ) กลุ่มผู้ประกอบการจึงไม่ควรมองข้ามกลุ่มตลาด LGBT เนื่องจากชาว LGBT ถูกประเมินว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการซื้อสูง เหตุเพราะส่วนใหญ่ไม่มีบุตร   

สำรวจความชอบ และพฤติกรรมกลุ่ม LGBT
ความจริงที่ว่าคนในกลุ่ม LGBT ส่วนใหญ่มักคำนึงถึงภาพลักษณ์ที่ดูดี ทำให้ความนิยมซื้อสินค้าต้องมีคุณภาพสูงควบคู่ไปด้วย โดยมีปัจจัยการเลือกซื้อสินค้ากับแบรนด์ที่เป็นมิตรกับชาว LGBT เช่น โคคา โคลา, เป๊ปซี่, แก็ป, ไนกี้, ลีวายส์ หรือเบอร์เกอร์คิง ที่เคยจัดงาน The Proud Whopper ในซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2557 เป็นเทศกาลเพื่อความภูมิใจของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ เป็นต้น 

นอกจากนี้ การจัดทำแอพพลิเคชั่นก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สำคัญ โดยผลิตภัณฑ์หลายค่ายทั่วโลกที่มีการใช้สัญลักษณ์ธงสีรุ้งประดับสินค้าเพื่อสื่อถึงการสนับสนุนชาว LGBT หรือจัดทำสินค้ารุ่นพิเศษที่แสดงออกถึงการให้ความสำคัญกับบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศมาจำหน่าย
ด้านหมวดหมู่สินค้าที่ชาว LGBT ทั่วโลกนิยมใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้า และบริการ ประกอบด้วย สินค้าเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ความงาม ท่องเที่ยว อาหาร และที่พักอาศัย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่อนุญาตให้มีการแต่งงานของเพศเดียวกัน ทำให้ความต้องการสินค้าที่เกี่ยวกับการจัดงานแต่งงาน เช่น ของขวัญ ของชำร่วย และของตกแต่งบ้าน เพิ่มขึ้น รวมถึงความจริงที่ว่าชาว LGBT มักไม่มีบุตร การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงจึงเป็นที่นิยม โดยเฉพาะ สุนัข แมว ปลา กระต่าย และนก เป็นต้น
จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า ประชากร LGBTในเมืองไทย มีอยู่ถึง 4 ล้านคน แต่ในความเป็นจริงอาจจะมีมากกว่านั้น จึงถือว่าตลาดกลุ่มนี้เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตอย่างมาก ทำให้เริ่มมีการผลิตสินค้าและบริการออกมาขายโดยเฉพาะกลุ่มมากยิ่งขึ้น 5 กลุ่มตลาด LGBT กับธุรกิจ SME ต้องจับตา

1. ธุรกิจการท่องเที่ยว : เนื่องด้วยภาพลักษณ์ประเทศไทยที่มีความเป็นมิตรกับกลุ่ม LGBT และจากการประเมินของ LGBT Capital พบว่า ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยว และการเดินทางของชาว LGBT เข้ามาสู่ประเทศสูงถึง 17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐรวมถึงประเทศไทยเคยมีการผลักดันด้านการท่องเที่ยวแบบ  พรีเมียมของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อตอบสนองกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง และมีความหลากหลายทางเพศด้วย


2. ธุรกิจเกี่ยวกับเสื้อผ้า : ในความเป็นจริงตลาด ส่วนใหญ่ที่ขายสินค้าเกี่ยวกับเสื้อผ้า มักจะมีให้เลือกเพียงชาย หรือหญิง ทำให้เพศทางเลือก หรือกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศหาเสื้อผ้าได้ยาก และไม่ตรงกับความต้องการของกลุ่ม LGBT



3. ธุรกิจไลฟ์สไตล์ : ด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของกลุ่ม LGBT มีความต้องการเฉพาะด้านมากทำให้สินค้าประเภทนี้เป็นอีกกลุ่มที่น่าจับตามอง ไม่ว่าจะเป็น เฟอร์นิเจอร์ ของขวัญ ของชำร่วย ของตกแต่ง หรือบ้าน เป็นต้น 4. ธุรกิจความงาม : คนส่วนใหญ่ในกลุ่ม LGBT มักจะคำนึงถึงภาพลักษณ์ที่ดูดีผลิตภัณฑ์ด้านความงามจึงมีความจำเป็นเช่นเดียวกับเสื้อผ้า แต่อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ก็ควรตอบโจทย์เพศของผู้ใช้งานด้วย 5. ธุรกิจเทคโนโลยี : ความเป็นจริงในสังคมต้องยอมรับว่า กลุ่มคน LGBT นั้นจะมีศักยภาพในการซื้อสูงเนื่องจากไม่มีบุตร สินค้าประเภทเทคโนโลยีจึงเป็นอีกประเภทหนึ่งที่กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศจะเลือกซื้อ เพื่อส่งเสริมด้านภาพลักษณ์ให้ดูดี ตัวอย่างเช่น สมาร์ทโฟน

นอกจากนี้ ปัจจุบันในกลุ่ม LGBT ยังเป็นกลุ่มที่มีอัตราการซื้อของผ่านอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ด้วยการใช้งานที่ง่ายและรวดเร็ว ประกอบกับการสำรวจของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สพธอ. หรือ ETDA พบว่ากลุ่มเพศที่ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดในประเทศไทยในปี 2558 ก็คือกลุ่ม LGBT โดยใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงที่สุดถึง 58.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ยิ่งตอกย้ำว่า กลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด


อย่างไรก็ตาม การประกอบธุรกิจกับกลุ่ม LGBT ผู้ประกอบการจำเป็นต้องศึกษาถึงความต้องการ และรสนิยมของกลุ่มผู้บริโภคอย่างจริงจัง เนื่องจากชาว LGBT มีความหลากหลายสูง และควรหลีกเลี่ยงการทำการตลาด และประชาสัมพันธ์ โดยเลือกใช้คำเพื่อไม่ให้เกิดการ กระทบกระเทือนต่อความรู้สึกผู้บริโภค รวมถึงประเมินผลกระทบในด้านลบที่จะเกิดขึ้นกับสินค้าจากกลุ่มผู้บริโภคที่ ยังไม่ยอมรับชาว LGBT ด้วย

credit: https://scbsme.scb.co.th/sme-inspiration-detail/LGBT
https://endia.net/wp-content/uploads/2017/05/LGBT.jpg
https://vallartapride.com/wp-content/uploads/2015/07/920portada_30-700x522.jpg
https://pbs.twimg.com/profile_images/523107583419092992/aTKiAPZq.jpeg