C L I C K

Saturday, 26 November 2016

คนไทยแชร์จนไร้สติ

ที่เรียกว่าคนไทยแชร์จนไร้สติ ส่งต่อข้อมุล ข้อความกันจนไม่ได้ตรวจสอบว่า
เรื่องราวที่ได้อ่านมา จริงหรือ ไม่จริง
 
นักการตลาดบางประเภท สร้างViral marketing เพื่อให้คนทั่วไปดู แชร์ ส่งต่อ กลายเป็นการทำการตลาดแบบนึง ในช่วงเวลานึงที่ได้รับความนิยม แต่มันเป็นเรื่องไม่จริง หวังประโยชน์ทางการค้า และเป็นวิธีที่สุดท้าย ผู้บริโภคก็รู้ว่าตัวเองเป็น"เหยื่อ" ทางการตลาดและกลายเป็น"ไอ้โง่" ในช่วงเวลาต่อมา
ข่าวลือ โดยที่มีสรรพนามว่า "เค้า" เล่าว่า "เค้า"บอกว่า ซึ่งก็ไม่อาจจะหาที่มาว่า "เค้า" คือใคร หรือคือตัวละครสมมติ ที่ไม่มีจริงๆ แต่คนที่สร้างข่าวลวง ก็เพียงหา สรรพนามยกขึ้นมาเท่านั้นเอง 
ในสังคมสมัยนี้ ถ้าคุณเล่น social network คุณจะพบข้อมูลมากมาย บางเรื่องก็เป็นเรื่องจริง บางเรื่องก็ชวนสงสัย บางเรื่องก็ชวนให้คิดและหาคำตอบต่อ ถึงเวลาแล้วที่เราต้อง แยกให้ออกว่า เรื่องอะไรคือเรื่องที่ยังเป็นข้อสงสัย ยังสรุปไม่ได้ หรือเป็นข้อเท็จจริง ไม่จำเป็นต้องส่งต่อ เพราะบางครั้ง เรื่องข้อเท็จจริงก็เป็นเพียง เรื่องที่นำไปสู่เรื่องการตลาด ของนักการตลาดที่หวังผลให้คุณเป็นผึ้ง ที่เอาเกสร ไปส่งต่อยังพืชต้นอื่นๆ
แล้วจะทำยังไงดี 
ขอยกเอาหลัก กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตตสูตร ก็มี) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่
  1. มา อนุสฺสวเนน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
  2. มา ปรมฺปราย - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
  3. มา อิติกิราย - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
  4. มา ปิฏกสมฺปทาเนน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
  5. มา ตกฺกเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเดาว่าเป็นเหตุผลกัน
  6. มา นยเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมานคาดคะเน
  7. มา อาการปริวิตกฺเกน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเดาจากอาการที่เห็น
  8. มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่                   พินิจไว้แล้ว
  9. มา ภพฺพรูปตา - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อถือ
  10. มา สมโณ โน ครูติ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครู           ของเรา
เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ
ตามหลักกาลามสูตร จะว่าไปแล้ว ก็ควรจะเป็นทฤษฎีว่าด้วยตรรกะ บางสิ่งไม่จำเป็นต้องเชื่อเพียงเพราะได้ยินเขามา มันคือเรื่องที่เล่าสืบกันมา การเดา การอนุมาน หรือเดี๋ยวนี้เรียกว่า มโน กันไปเอง ก็มี
ดังนั้นการฟังหูไว้หู อาจจะเป็นทางออกที่ดี แต่การแชร์ไปทั้งๆที่เรื่องนั้น อาจจะเป็นภัยต่อคนที่ถูกส่งต่อ มีคำนิยามว่า Cyber Bully ซึงเรื่องนี้ อยากให้ชม เรื่องนึงที่ทาง  Dtac เคยทำไว้ 2 แบบ 
หรือคุณจะเลือกเป็นแบบที่สอง
เราเลือกที่จะเป็นผู้ดู หรือผู้ส่งต่อ จะเป็นผู้หยุด หรือผู้สานต่อ ไม่จำเป็นทุกเรื่องที่เรา่ผ่านตา เราจะต้องส่งต่อ ลองพิจารณาดูนะครับ ถ้าคุณส่งต่อข้อมูลเท็จ ยิ่งมันเท็จมากเท่าไหร่ ความน่าเชื่อถือของตัวคุณ ต่อสายตาคนอื่นๆ ในSocial network คุณก็คงไม่ต่างจากเด็กเลี้ยงแกะในนิทานอีสป
กาลครั้งหนึ่ง สมัยเมื่อเกือบ 60-70 ปีที่แล้ว มีคนตะโกนในโรงภาพยนตร์ ว่าคนๆนึงทำการลอบปลงพระชนม์ฯ ผมมองว่านั้นคือจุดเริ่มต้นของการทำ Viral rumor คำถามที่ผมยังคิดเสมอคือเขาต้องการปล่อยข้อมูล เพื่อหวังผล สร้างจิตวิทยา ปั่นประสาท ฯลฯ
สุดท้ายแล้ว...เราควรพิจารณาข้อมูล ทุกครั้งไม่ว่ามันจะคือข้อมูลอะไร คุณอาจจะเป็นผู้ช่วย หรือ อาจจะเป็นผู้ร่วมทำลายก็เป็นได้ หรือสุดท้าย คุณก็คือ คนโง่ ที่ชอบแชร์..ในสายตาคนอื่น




Reference:https://th.wikipedia.org/wiki/กาลามสูตร

Sunday, 13 November 2016

พฤติกรรมของมนุษย์(ทั่วไป) ในมุมมองข้าพเจ้า

หลังจากที่ผมสังเกตพฤติกรรมคนรอบข้าง
ผมเริ่มพบว่าคนส่วนมากมักชอบทำตามกัน ทำในสิ่งที่คนอื่นได้ทำก่อนแล้ว
แล้วเมื่อมีใครคนใด ที่กระทำ หรือ คิด หรือ ปฎิบัติที่ต่างออกไป จะถูกมองว่า
เป็นคนประหลาด คิดต่าง แตกแยก และ นอกคอก

สิ่งที่คุณจะสังเกตง่ายๆคือ เวลาที่คุณไปเดินตลาดนัด ไม่ว่าแผงค้าขายไหน
ก็ขายสินค้าคล้ายๆกัน แต่ทำไมคนส่วนมาก ต้องไปรุมกันที่ร้านคนเยอะๆ
บางคนเข้าไปดู เพราะอยากรู้ว่า เค้ากำลังมุงดูอะไร ถ้ามันเข้ากับสิ่งที่คนๆนั้น กำลังสนใจ
ก็อาจจะใช้เวลาดูต่อ หยีบจับ และสุดท้ายก็ซื้อ 

ร้านอาหาร ถ้าร้านไหนคนเยอะๆ จอดรถยากๆ ที่ไม่ค่อยว่าง ทำไมยังต้องไปแย่งกันเพื่อไปกิน เราเดือดร้อนมากขนาดนั้นเลยหรือ จำเป็นต้องแก่งแย่งที่เพื่อได้ที่ ขนาดนั้นเหรอ
ระบบการศึกษาไทย ที่นักเรียนต้องไปเรียนพิเศษ ค่าเรียนพิเศษที่ราคาไม่ได้ทิ้งห่างจากค่าเทอม เราถูกสอนมาว่า เรียนหนังสือเก่งๆ จะได้เป็นเจ้าคนนายคน ได้ทำงานเงินเดือนสูง
แต่พ่อแม่รุ่นนึง เคยสอนเราแบบนั้น ที่เค้าสอนเราแบบนั้น เพราะเค้าเป็นมนุษย์เงินเดือน
ว่าง่ายๆ มนุษย์เงินเดือนสอนลูก ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก
ธุรกิจเครือข่าย ทำไมต้องปรบมือให้กับผู้เปิดโอกาส ทำไมต้องไปนั่งเสียเวลาฟังแรงบันดาลใจ
ทำไมต้องไปฟังอบรม ถ้าธุรกิจดี มีแก่นธุรกิจ ไม่ต้องเอาแรงบันดาลใจ ไม่ต้องมาขายคอร์สการขายหรอก เพราะพวกอัพไลน์หารายได้จากการขายคอร์ส มากกว่าขายสินค้าขายตรงซะอีกก็มี

พูดถึงเรื่องเครือข่าย เห็นคนสำเร็จเท่าหยิบมือ ที่เหลือล้มหายตายจาก เลิกทำ ทะเลาะกับครอบครัว เพื่อนฟูง เพื่อนในไลน์ยังบล๊อก ในเฟสเลิกคิดได้เลย unfriend กันไปไม่ใช่น้อย
และระบาดไปจนถึงไลน์กลุ่ม โฟสต์สะบัด แชร์กระจาย จนรำคาญต้องออกจากกลุ่มก็มี
เค้าขายสินค้าเหมือนกัน ด้วยคนกลุ่มเดียวกัน และมีคนอีกมากมายที่ไม่เอา ไม่รับ ไม่ฟัง
และต่อต้านธุรกิจเครือข่าย แต่ทำไมยังมีคนทำ เพราะอะไร

เคยเจอคนประเภทหนึ่ง อยากทำอะไรใหม่ อยากเจอสิ่งใหม่ เบื่อ ซ้ำซาก บ่นรำคาญชีวิต
แต่พอมีคนบอกลองชิม ลองดู ลองทำสิ่งนี้ กลับบอกว่า ไม่เอา กลัว ขี้เกียจ ของเดิมก็ดีแล้ว
...แล้วบ่นทำไมว่าอยากลอง อยากเจออะไรใหม่ๆ 

ทำไมเราต้องไปมุงตามเค้า
ทำไมต้องเบียดต้องแย่ง เพื่อเข้าไปซื้อของเหมือนๆกัน เพื่อใส่ให้ซ้ำกับอีกคน
ทำไมต้องแย่งกินร้านเดียวกัน ในเวลาไล่เลียกัน ในขณะที่มีร้านอื่นๆ ที่คนไม่เยอะและอร่อย
ทำไมต้องทำตามค่านิยม ที่สังคมตั้งมาตราฐาน คุณกำหนดชีวิต หรือสังคมกำหนดชีวิตคุณ
ทำไมบางคนเคยกล่าวว่า อาชีพที่เค้าจะทำอาชีพสุดท้าย คือ ธุรกิจเครือข่าย
ทุกวันนี้กลับไปทำงานประจำเหมือนเดิม องค์กรล่ม หัวหน้าองค์กรก็เลิกทำไปทำงานสายอื่น

คนเราไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ลองผิดลองถูก ไม่กล้า ก็จงอยู่ใน comfort zone ต่อไป รอให้วันที่ชีวิตของคุณต้องมีองค์ประกอบมาบังคับ บงการ กดดัน บีบคั้น ให้คุณต้องหาทาง มนุษย์บางประเภทรู้จักเอาตัวรอด ดิ้นรน แต่บางประเภทเรียกร้อง ขอความเห้นใจ ขอให้ภาครัฐช่วยเหลือ เยียวยา บำบัด...

ถ้าไม่เริ่มทำอะไรเองเลย มัวแต่รอ ไม่นานคุณก็จะกลายเป็นคนที่สังคมทอดทิ้งไว้ ข้างหลัง