C L I C K

Tuesday 14 July 2015

อย่าหวังพึ่ง...

วันนี้ผมจะพูดเรื่องการพึ่งพาตัวเอง 

สำหรับประเทศไทยนั้น เท่าที่ผ่านมา ในหนึ่งปีเราได้เห็นอะไรบ้าง 
ตอนหน้าหนาว เราเห็นบริษัทใหญ่ๆ เอาผ้าห่มไปแจกชาวบ้านในถิ่นกันดาษ
หน้าแล้ง รอให้ทำฝนเทียม หน้าฝน ให้ทางรัฐฯ หาทางช่วยเหลือ เวลาที่เกิดปัญหาน้ำท่วม
ตลอดทั้งปีเราเห็นแต่ข่าวกับคำว่า 

รอภาครัฐ 
รอคนนั้นคนนี้ช่วยเหลือ 

แล้วถามว่าตัวเราได้เริ่มช่วยเหลือตัวเองกันหรือเปล่า?!?!

ผมเคยอ่านข่าวว่า ทำไมผ้าห่มที่แจกในหน้าหนาวถึงไปแจกซ้ำๆกันทุกปี แล้วหน้าฝน หน้าร้อน ผ้ามันหายไปไหน คำตอบคือ ชาวบ้านเอาไปขายกับคนที่มารับซื้อหลังจากหมดฤดูหนาว
ถามว่าทำไมเขาไม่คิดหล่ะ ว่าปีหน้ามันก็ต้องหนาวอีก อาจจะเป็นเพราะความยากจน อาจจะเป็นเพราะความแร้งแค้น เลยต้องขายอะไรใกล้ๆมือ ออกไปเสียก่อน
ทำไมปัญหาถึงยังแก้ไม่ได้หล่ะ
ก็เพราะคนเหล่านั้นยังคิดไม่ออกนะสิ (พูดแบบกำปั้นทุบดินเลยนะ)

แต่จริงๆแล้วคือ คนเหล่านี้มัก ตีกรอบความคิด ด้วยข้ออ้างที่ว่า ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง กลัวความผิดพลาด
อดีตเคยทำมายังไง ก็ทำแบบนั้นต่อไป
สรุปสั้นๆคือ อยู่ในcomfort zone นี้แหละ วิถีที่ทำมายังไง ก็จะทำอยู่อย่างนั้น
ผมให้ความเห็นแบบนี้ครับ ถ้าตราบใดที่คุณยังคิดในกรอบ แบบคิดเดิมๆ ไม่มีวันที่คุณจะได้ผลที่แตกต่างออกไป แต่ถ้าคุณลองคิดทำอะไรใหม่ๆ แปลกๆออกไป มันคือการทดลอง อย่างน้อยถ้ามันดีขึ้น หรือแย่ลง คุณก็ได้ลงมือลองทำมันแล้ว ดีกว่าทำแบบเดิมได้แบบเดิม เหมือนทุกวันๆ
ย้อนกลับมาพูดถึงการพึ่งพาตนเอง ไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องเห็นแก่ตัว แต่จะบอกว่า ก่อนที่เราจะไปร้องขอความช่วยเหลือคนอื่น เราได้ทำเองแล้วหรือยัง บางคนยังไ่ม่ริเริ่มที่จะทำเองด้วยซ้ำ  มีปากก็พูดไปก่อน ขอให้คนนั้น รอคนนี้ช่วยเหลือ ขอให้คิดเสมอนะครับ ในวันนี้คุณขอให้คนอื่นช่วย วันหลังคุณก็ต้องช่วยผู้นั้นคืน มันเป็นเรื่อง Give and Take ถ้าคุณเริ่มที่ Take ก่อน มันเพาะนิสัยเห็นแก่ตัวเล็กๆนะครับ
ทางที่ดีเป็นผู้ Give ที่ดี มองโลกแง่ดี ให้กับคนที่ด้อยกว่า ด้วยนะครับ
การเป็นคนที่พึ่งพาตนเอง ในแง่ดีคือคุณจะมองปัญหาอะไรต่างๆ ไม่ได้ใหญ่โต มันมีวิธีจัดการ ดำเนินการ และแก้ไข ผมยกตัวอย่าง หลังจากคุณทานข้าวเสร็จ ถ้าคุณมีหน้าที่ต้องล้างจาน คุณเลือกที่จะล้างมันทันที หรือ เอาไว้ก่อนอาบน้ำที่หลัง เดี๋ยวสักพักคุณค่อยล้าง ไม่ว่าจะเลือกล้างตอนไหน ยังไงก็ต้องล้างอยู่ดี จริงไหม บางคนเลือกล้างทันที บางคนเลือกล้างก่อนจะอาบน้ำนอน แล้วแต่เหตุผลของแต่ละคน แต่บางคนกลับไปเรียกอีกคนมาจัดการล้าง โดยอ้างเหตุผลต่างๆ แล้วตัวเองก็ไปนอนดูทีวีสบายใจ อันนี้เรียกว่าไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเอง คุณเลือกจะเป็นคนแบบไหน
ผมมองว่าในสังคมไทย ยังขาดวินัยครับ พอเราขาดวินัย และระเบียบ และการปลูกฝังจิตสำนึก             เราเลยพากันไม่มีหลักยึดและแนวคิด  เราหวังพึ่งพากับอะไรหลายๆอย่างที่จับต้องไม่ได้ ไปหวังพึ่งสลากกิน(ไม่ค่อย)แบ่งของรัฐบาล ฝนไม่ตกก็ไปขอแห่นางแมว และอะไรอีกหลายๆอย่างที่ต้องไปขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ ผมย้อนถามแบบตรงๆ ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ เราอยากแก้ปัญหากันแค่เบื้องต้น แก้กันแบบผ่านๆไป อยากรวยอย่างรวดเร็ว อยากมีอย่างคนอื่น อยากได้มาอย่างง่ายๆ คิดกันได้แค่นี้จริงๆ หรือ? ไม่ต้องดูอะไรกันไกลๆ คนบางคนเลือกประชานิยม แล้วเป็นไง หนี้ระยะยาว นั้นเพราะเราคิดกันสั้นๆ นักวิชาการออกมาบอกแล้ว ก็ไม่ฟัง สุดท้ายมียกเลิกใบจองรถกันมากมาย

เราเองคงต้องมาคิดกันใหม่ ทำอะไรด้วยตัวเอง หาความรู้ด้วยตัวเอง ปัจจุบันแหล่งความรู้มีมากมายหลายทางไม่ว่าจะในอินเตอร์เน็ท หนังสือบางเล่มแทบจะไม่ต้องซื้อ เพราะความรู้มีในนี้แล้ว อยู่ที่ว่าคุณจะลงมือหาความรู้เองไหม

เริ่มเสียแต่วันนี้ เริ่มที่จะเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ และคิดเสมอว่าทำให้ดีกว่าเมื่อวาน

เริ่มจากการทำด้วยตัวเอง ไม่ใช่อ้าปากพูดก่อนจะลงมือทำ

จงเป็นผู้ใหญ่เสียทีครับ มีแต่เด็ก เท่านั้นที่ร้องขอจากผู้ใหญ่

คุณลองมองคนด้อยโอกาส คนพิการ สิครับ บางคนนั้น สู้ชีวิตมากกว่าคนปรกติเสียอีก

อย่าทำตัวด้อยค่ากว่าคนเหล่านั้น ตราบใดที่คุณยังมีอวัยวะครบ 32 และมีสติสัมปัชญะครบถ้วนอยู่
  • ถ้าคุณคิดว่าตัวเองด้อยค่า ลองคลาน ด้วยสองมือสิครับ แล้วคุณจะเข้าใจ
  • ทำไมเขาเหล่านั้นยังต่อสู้ เป็นนักกีฬาพาราลิมปิกได้ แล้วคุณหล่ะ 
  • ทำไมไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
  • ทำไมยังล้มและไม่ลุก
  • ทำไมยังต้องพึ่งพาใครต่อใคร
  • อย่าให้ใครดูถูกว่าคุณยังต้องพึ่งคนอื่นๆ ทั้งๆที่ปรกติครบถ้วน
  • กลับไปคิดดูดีๆนะครับ ว่าคุณยังอยากจะต้องเป็นคนที่ต้องพึ่งคนอื่น หรือ คุณเลือกที่จะพึ่่งพาตัวเอง ด้วยตัวเอง เพื่อตัวเอง

คุณควรจะภูมิใจที่ยังมีความเป็นคน เป็นมนุษย์ ที่ยังหายใจอยู่ 
ผมเชื่อว่าคุณทำได้ และจะทำได้ดีกว่าเมื่อวาน

#จงภูมิใจในตัวเองที่เป็นตัวเอง
#eastsidebangkok
#believe








Monday 6 July 2015

Welcome to the Real World

ขอต้อนรับท่านสู่โลกแห่งความเป็นจริง

หัวข้อที่พาดวันนี้ อาจจะเคยได้ยินในหนังเรื่อง Matrix นะครับ แต่สิ่งที่ผมจะนำเสนอวันนี้
มันก็เรื่อง Marketing สุดแสนจะธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา
ทุกวันนี้มีแต่คนพูดถึงเรื่องการทำตลาด คือ การประชาสัมพันธ์ สื่อสาร กับ มนุษย์ภายนอกองค์กร ว่าง่ายๆก็ลูกค้านั้นแหละ ผมเองนั้นก็ดูแนวโน้มการตลาดตอนนี้คือ คนที่ทำโฆษณาทั้งหลาย เจ้าของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก็ต้องจับกระแสความสนใจของผู้บริโภค ลูกค้า ว่าง่ายๆ พวกเขาสนใจอะไร จับสิ่งนั้นมาเป็นเครื่องมือ ชักจูง ไม่ทางตรง ก็ทางอ้อม จะbrand reminding หรือ pursue ก็ตามแต่จะเรียก
แต่ท้ายที่สุด ก็ให้ลูกค้าเหล่านั้นมาใช้บริการ มาบริโภคสินค้า

ว่ากันว่าคนที่ทำmarketing ในfacebook จะเน้นการให้information มากกว่า การจะมาเน้นขายสินค้า
มากกว่า 70% ขึ้นไปคือ knowledge / information / news ที่เหลื่อๆ ก็update เกี่ยวกับproduct ตรงๆ
คนไม่อยากupdate  บ่อยๆหรอก ยิ่งเน้นการขายมากๆ คนดูก็ยิ่งเบื้อนหน้าหนี เหมือนพวก Clickbait ต่างๆนั้นแหละครับ

หนทางที่หลายๆคนคิดออกคือ การทำ SEO (Search Engine Optimization) หรือ การทำให้คนที่ต้องการsearch เจอในอันดับต้นๆ ใน Google แต่ผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่สิ้นคิด

ถามว่าทำไมสิ้นคิด ลองคิดดูนะครับ
สิ่งที่คุณขาย มันอาจจะไม่ใช่สิ่งใหม่บนโลก แต่วิธีการนำเสนอนิ้สิ ทำยังไงให้มันน่าสนใจ

คุณทำให้page , website คุณขึ้นอันดับต้นๆ จะมีสักกี่คนที่จะclick เข้าไป ถ้ารู้ว่าของที่คุณจะซื้อ มันรวมค่าclick ของคุณไปด้วย ผมเลยไม่คลิ๊ก และไปดูpage อื่นๆ ดีกว่าครับ

ผมเคยคุยกับรุ่นพี่ที่เคารพท่านหนึ่ง พี่คนนี้มีความคิดทางการตลาดที่ยิ่งใหญ่ ทุ่มทุน อัดโฆษณา โปรโมตแบบชนิด บุกป่าเผากระท่อม ปิ้งไก่ (เอ๊ะ ยังไง) แต่ผลที่ออกมา เสียงจิ้งหรีด ดังระงม เงียบกริบ

ผมเลยจับเข่าคุยกับรุ่นพี่ท่านนี้ ว่าทำไมไม่ลองเปลี่ยนความคิดการทำโฆษณาใหม่ ผมคุยกับพี่คนนี้ หลายครั้ง ครั้งละหลายนาที แต่ก็ดูเหมือนกับว่า เราคิดกันคนละแบบ

ประเด็นคือ ผมมองว่าการลงทุนทำ SEO มันมีข้อดีสำหรับธุรกิจที่ต้องการเรียกแขก เรียกลูกค้า แต่ไม่เหมาะกับธุรกิจที่เป็น mass เช่น ขายเสื้อผ้า fashion เพราะ มันเป็นสินค้าที่ substitute
มันไม่มีอะไรที่ unique เว้นแต่ทำออกมาแบบ one piece in the world
โอเค แบบนั้น เอาเลยครับ ไม่มีใครซ้ำแน่ๆ

อีกเรื่องคือ งบโฆษณา หรือ การทำการตลาด เป็นสิ่งที่คุณสามารถทำให้มันเป็นศูนย์ หรือ เป็นสูญ ก็ได้
ถ้าคุณใช้สมองมาก ทำการบ้านเยอะ วางแผนมาดี คุณแทบจะใช้ศูนย์บาท
แต่ถ้าไม่คิดอะไร เน้นแต่จะทำการตลาด (อะไรใครว่าดี ทำหมด) เงินงบที่ใช้ลงไป
ก็อาจจะกลายเป็น สูญ (หลายบาท) นะครับ

ที่ผมใช้คำว่า ศูนย์ กับ สูญ อ่านออกเสียงเหมือนกัน แต่ ความหมายต่างกัน

คุณเลือกจะใช้คำไหน ในการทำโฆษณาครับ
ผู้บริโภคสมัยนี้ ดูว่าคุณมีidea ในการสื่อสารอย่างไรครับ
เน้นโฆษณามากๆ ก็ใช่ว่าจะขายได้เสมอไป
แต่การทำโฆษณาที่ใช้สมองนี้สิ คนจะจดจำคุณได้

ตอนหน้าจะมาว่าด้วยเรื่องอะไรนั้น รอติดตามนะครับ

#การตลาดศูนย์หรือสูญบาท  #EASTSIDEBANGKOK


Friday 3 July 2015

ดินแดนแห่งการคัดลอก

ว่าด้วยเรื่องการคัดลอก หรือ เรียกกันตามภาษาทับศัพท์ว่า ก๊อปปี้(copy)

หลายๆคนคงไม่ชอบให้ใครมาเลียนแบบ หรือ ทำตาม แต่คุณเชื่อไหมว่าในสังคมไทยนั้น หลายๆพฤติกรรมเราทำตามกันอย่างพร้อมเพรียง ยกตัวอย่าง

เรามีTV digital (อันนี้สิ่งใหม่)
ผมคาดหวังว่าจะได้เจออะไรใหม่ๆ แต่กลับเจอรายการเก่าในระบบใหม่ ซึ่งล้วนแต่คัดสรรว่าสาระ(ไม่มี)เหมือนเดิม ไม่ว่าจะละครคุณภาพที่ตบกัน กรี๊ดกัน นางร้าย นางเอก เหมือนเดิน plot เดิมๆ หรือละครremake แบบเดิมๆ

เรามีการShare & Like ในFacebook โดยไม่ลืมหูลืมตา ทำตามๆกัน อย่างกรณีเสี่ยชาเขียว มีpageปลอมหลอกให้แชร์ ก็ทำตามกันไป โดยไม่พิเคราะห์กันเลยว่าข้อความหรือบุคคลที่ส่งสารเหล่านั้น คือของจริงหรือไม่
ประเด็นนึงที่น่าสนใจ กรณีเด็กหาย บางครั้งเด็กคนนั้น พบแล้วจนปัจจุบันโตจนจะเข้ามหาวิทยาลัย (ตอนที่หายยังอยู่ประถม) ลองคิดแหละกันว่าShare กันมามากและนานขนาดไหน คงพอๆกับจดหมายลูกโซ่ที่บอกว่า มาจากพระครูธรรมโชติ นั้นแหละ
พฤติกรรมจดหมายลูกโซ่กับการแชร์อย่างไม่มีวิจารญาณ น่าจะไม่ต่างกัน เพียงแต่เปลี่ยนช่องทางจากจดหมายเป็นfacebook & Line app แค่นั้นเอง

อีกเรื่องที่ผมรำคาญมากๆคือ การที่คนหลายๆคน นำสินค้ามาขายในfacebook ไปแปะในpageต่างๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ขาย ตัวอย่างเช่น page ขายอสังหาริมทรัพย์ แต่มาขายครีมลดถุงใต้ตา ยาลดความอ้วน ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ อันนี้จะโทษว่ามันเป็นโปรแกรมหรือ app ที่สามารถ post อัตโนมัติ ผมไม่โทษทีโปรแกรม app  นะครับ แต่ผมโทษทีคนใช้เครื่องมือเหล่านี้ต่างหาก ลงแบบมั่วๆแบบนี้ ไม่ต่างกับที่แปะบริการเงินด่วน หนี้นอกระบบที่แปะตามเสาไฟฟ้า ตู้โทรศัพท์ เห็นแล้วก็รำคาญตา น่าเบื่อ และที่แย่คือ ไม่ได้เป็นแค่คนสองคน คนพวกนี้มีเป็นร้อยคน ผมเจอในpage ที่ผมดูแล ผมก็block และลบครับ ไม่รู้จะไปตักเตือนทำไม พวกนี้post แล้วไม่เคยตามมาดูหรอก รอแค่มีคนติดต่อมา เหมือนโยนเหยื่อ รอเบ็ดติด
ถ้าคิดจะลงขายสินค้า อย่าทำแบบนี้ ผลระยะยาวคือ ใครๆก็จะรำคาญเหมือนที่คุณเจอหน้าเพื่อนอย่างภาคภูมิใจว่า กูทำธุรกิจเครือข่าย กูทำขายตรง เชื่อเถอะ มากกว่า 90% จะมองคุณอย่างแปลกๆ ดีไม่ดีอาจจะเดินห่างๆ และหายไป หรือคิดว่ายังไงครับ

ผมเฝ้ามองพฤติกรรมหลายๆอย่างของคนไทยในยุคDigital เรามีความอดทนต่ำลงเรื่อยๆ เพราะความที่อะไรๆก็แค่ copy & paste (ก๊อปและแปะ) มันง่ายครับ แค่เอางานคนอื่นๆ คัดลอก ก๊อป แปะ การทำซ้ำมันง่ายกว่าการสร้างสรรค์ จึงไม่แปลกที่รายงานของเด็กยุคหลังๆ ก็หาจาก Wikipedia , Google แล้วก็แปะๆ โดยเนื้อหาก็ไม่ได้มีการตรวจทานแม้แต่น้อย อันนี้เรียกว่าเลียนแบบไม่มีศิลป์

การจะเป็นผู้นำแปลว่าคุณต้องคิดต่างออกไป การสร้างสรรค์งานใหม่ๆ บนพื้นฐานความคิดเดิมๆ ยังคงใช้ได้อยู่



อึกเรื่องที่ผมอยากกล่าวคือ คนทั่วไปชอบทำตามสิ่งทีคนอื่นได้ทำสำเร็จไปแล้ว. ดูตัวอย่าง การทำการเกษตรในประเทศไทย ไทยปลูกข้าวและเป็นผู้ส่งออกเป็นอันดับต้นๆของโลก แปลว่าเรามีเกษตรกรที่มีอาชีพปลูกข้าวเป็นหลัก เราเป็นประเทศที่ส่งออกยางพาราคุณภาพดี ไปทั่วโลก แต่เมื่อราคายางสูง คนส่วนมากแห่กันปลูกโดยคิดว่าราคาจะสูงตลอดจนถึงวันที่กรีดเลยเหรอ ไม่หรอก เมื่อปริมาณยางมีมาก ตามกลไกตลาด ราคาก็จะต่ำลง จากราคา140 ก็ดิ่งลงเหลือ40กว่าบาทมาแล้ว ถามว่าจะโทษใคร มันอยู่ที่แนวคิดครับ ถ้าคุณทำเหมือนคนอื่น คุณก็จะประสบเหมือนคนอื่นๆ ผมไม่โทษที่ชาวบ้าน ชาวสวนต้องมาเผชิญชะตากรรมจนต้องขายสวน ตัดยางทิ้ง แต่ผมกำลังจะย้อนไปสู่ต้นเหตุของวิธีคิดของเรา

ระบบการศึกษาของไทยนับตั้งแต่จำความได้  เราถูกสอนให้ท่องจำ บางอย่างจำกันโดยไม่มีเหตุผลมารองรับ จำเพราะครู อาจารย์บอกให้ท่อง มันคือกระบวนการเลียนแบบ ที่ขาดเหตุผลมารองรับ ไม่นับเรื่องการกระทำทางสังคมวัฒนธรรม เพราะนั้นคือกรอบของขนบธรรมเนียม ที่เราต้องกราบไหว้ผู้ใหญ่ ครู อาจารย์ หรือ พระ แต่ผมหมายถึงความรู้ ที่เราได้มา เราแค่จดจำ แต่ไม่วิเคราะห์ ว่าทำไมต้องจำ ทำ และเชื่อว่ามันจะดี เราเชื่อว่ามันดี มันสำเร็จ และนำความร่ำรวย มาสู่เรา เพราะ คนรุ่นก่อนๆก็ทำแบบนี้ ใช่ มันก็จริง แต่เราต้องเอาปัจจัยอื่นๆ แวดล้อม สังคม และ สถานการณ์ปัจจุบัน มาเป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจ.

แนวพระราชดำริ ไร่นาสวนผสมคือแนวทางการปลูกที่ยั่งยืน จริงๆมองให้ลึกลงไป ไม่ใข่แค่การทำสวนไร่นา แต่พิเคราะห์ลงไปว่า ชีวิตคนเรานั้นอย่าทำงาน ธุรกิจอะไรให้เหมือนทำไร่ ทำนา เพียงแค่พืชชนิดเดียว หากวันนึงพืชชนิดนั้น สินค้าล้นตลาด ก็เหมือนคุณจบวิศวะ ที่ตกงาน เพราะคนจบมามากเกินไป บางคนก็เลือกไปเรียนต่อปริญญาโท เพราะเชื่อว่าปริญญาอีกใบจะทำให้คุณมีภาษีดีกว่า แต่ปริญญาอีกใบก็มีคนจบมามากไล่ๆกับปริญญาตรีอีก...กลายเป็นสินค้าที่ล้นตลาดอีก

แล้วจะทำยังไง...หล่ะ


คำตอบคือ คุณต้องสร้างความแตกต่าง เรียนรู้ และประกอบสิ่งรอบๆตัวคุณด้วยองค์ความรู้ในสิ่งที่เรียน ผสมผสานกับประสบการณ์ มุมมอง และวิถีในการดำรงค์ชีวิต ขอเพียงอย่าตีกรอบ.และดูถูกตัวเองครับ คนเราจะแพ้ก็แค่ใจตัวเองเท่านั้น...

ผมเปรียบเทียบว่าการเรียนประถมถึงมัธยม คือ การเรียนรู้แวดล้อม เรียนรู้สิ่งต่างๆ ในขีวิต

การเรียนมหาวิทยาลัย ในระดับปริญญาตรี คือการเรียนรู้จักเครื่องมือ คุณจบมาคุณก็มีกระเป๋าเครื่องมือหนึ่งใบ คุณจะหยิบอะไรออกมาใช้ก็ได้ ตามความถนัดของคุณ คุณอาจจะหยิบฆ้อนมาตีตะปู ติดรูปบนฝาผนัง หรือ จะเอาสว่านเจาะ ขันน็อต เพื่อติดรูป วิธีการของแต่ละคน ต่างออกไป แค่ผลลัพธ์ก็เหมือนๆกัน บางคนอาจจะเถียงว่า เอากาวสองหน้าแปะก็ติดรูปได้เหมือนกัน ผมไม่เถียง แต่ระยะยาวหละ กาวเสื่อมสภาพรูปตกมาแตก จะทำยังไง

นี้คือวิธีคิด คิดเอาง่ายๆ หรือ คิดยาวๆ หรือจะคิดแบบขอไปที หรือ คิดแบบเผื่ออนาคตมองยาวๆ

ชีวิตคนเราก็เหมือนวิธีคิด และ วิถีการทำงานครับ บางคนเน้นง่ายๆ แต่ไม่ละเอียด บางคนคิดแล้วคิดอีกแต่ไม่ทำสักที แล้วก็มีคนมักง่ายมาเลียนแบบ

แต่จงเชื่ออย่างนึงว่า คนที่ทำก่อน อย่างรอบคอบ วางแผนมาแล้ว จะได้เปรียบกว่าคนที่เลียนแบบ แต่ไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง..

ถ้าคิดจะเลียนแบบอย่างมีชั้นเชิง จงนำความรู้เก่ามาพัฒนาและต่อยอด ให้ดียิ่งกว่า แต่ถ้าแค่จะลอกเลียนแล้วไม่พัฒนา คุณก็แค่เครื่องถ่ายสำเนา ที่ไม่นานสีจะซีดจาง และถูกลบเลือนครับ..