C L I C K

Sunday, 28 June 2015

mirror mirror on the wall.

Mirror mirror on the wall

คำๆนี้คนไทยอาจจะไม่คุ้น แต่ถ้าเป็นฝรั่งจะทราบว่ามันเป็นคำพูดของแม่มดในเรื่องสโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด แปลภาคภาษาไทยได้ความว่า กระจกวิเศษจงบอกข้าเถอะ.... บลาๆๆๆ

ในชีวิตคนเราไม่มีหรอกกระจกมาบอกเรา มาอวย มายอ มาชี้แนะ ถ้ามีกระจกแบบนี้หลายๆคนคงไปขอหวย เลขเด็ด นั้นคือสิ่งที่บางคนคิดได้
ผมถามจริงๆ นะ สื่อทำให้เราคิดแบบนี้ หรือ เราเป็นแบบนี้กันมานานแล้ว

พูดถึงเรื่องสื่อ อันนี้ใกล้ตัวที่สุด เรามีหนังสือพิมพ์ ทีวี รายการมากมาย แต่รายการที่เป็น mass ทางrating จริงๆ ก็พวกvariety ต่างๆ จำพวกละคร เกมโชว์ รายการสัมภาษณ์ต่างๆ เอาจริงๆ ผมว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่หันหลังให้กับรายการเหล่านี้ เพราะคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปดู อย่างมากก็ถ้าอยากดูก็ไปดูใน youtube หาเอาในfacebook เดี๋ยวก็มีสำนักข่าว เอาข่าวมาลงให้ดู แต่เดี๋ยวก่อน ข้อมูลข่าวสารเรื่องที่เอามาเป็นประเด็นล้วนแต่ไม่ได้ให้ประโยชน์เลยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ดาราไปกับสามี รูปหลุด( ต้องยอมรับว่า มนุษย์ในสันดานชอบอยากรู้เรื่องชาวบ้าน) อันนี้ปรกติ แต่ถามว่ารูปแล้วมันให้ประโยชน์อะไรกับเราไหม
จำเป็นต้องรู้ไหม 

ในสังคมไทยตลอดวันเราลองมาดูสิ ว่าข่าวที่เป็นประโยชน์จริงๆ ให้สาระ ประดับความรู้เรา มีสักกี่ข่าว

เคยมีท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า ถ้าคุณอยากรู้ว่าประเทศนั้น คนในชาติเป็นอย่างไร ให้ดูว่าหนังสือพิมพ์อะไรที่ขายดี รายการอะไรที่คนนิยมดู และอัตราส่วนของรายการทีวี มีรายการอะไรบ้างเป็นรายการหลักๆ

หลังจากที่ผมลองวิเคราะห์ดูตามแผงหนังสือต่างๆ คุณลองถอยหลังสักสี่ห้าก้าว มองกวาดสายตาในแผงหนังสือ เราจะเจอหนังสืออะไรบ้างที่มีคุณค่า หรือ คุณเจอแต่หนังสือGossip ดารา หนังสือบันเทิง หนังสือพิมพ์ที่มีแต่ข่าวชาวบ้าน รถคว่ำ อุบัติเหตุ อาชญากรรม ข่าวแง่ลบ ภาพดาราถ่ายชุดหวาบหวิวในวันอาทิตย์

ถามว่าเรามีสื่อแบบนี้มากไปไหมในประเทศนี้ ในประเทศที่ควรจะมีการจำกัด category ว่าควรมีเท่าไหร่ บอกตรงๆนะครับ digital media กำลังทำให้หนังสือประเภทนี้ หลุดจากตลาดออกไปเรื่อยๆ

เราทุกคนสามารถหาข่าวพวกนี้จากfacebook หรือGoogle แล้วถามว่ามันจำเป็นต้องซื้อหนังสือแบบนี้ไหม ไม่เลยถ้ามันไม่แถมของแจก หรือ ชิงโชค

หากเราใช้สติคิดสักนิด ว่าทำไมต้องซื้อหนังสือจำพวกนี้ ทั้งๆที่เราสามารถบริโภคข่าวสารดีๆ มีสาระมากกว่าจะมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระไม่เกิดประโยชน์ เอาจริงๆ คุณอ่านเรื่องพวกนี้ ก็แค่เอาไว้เม้าท์มอยกับเพื่อนในกลุ่มสนทนา แล้วมันต่างอะไรที่เหมือนคุณรู้เรื่องคนข้างบ้าน แล้วเอาไปนินทากับเพื่อนของคุณ ก็คงไม่ต่างกับคนใช้ข้างบ้านคุยนินทาเจ้านายของตัวเอง หรือคิดว่ามันไม่จริงครับ

สุดท้ายขอฝากข้อคิดนะครับว่า ถ้าเรื่องราวมันไร้สาระ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ตัดๆมันทิ้งไปบ้าง คุณไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องบนโลกหรอก เอาที่มันต้องรู้ อากาศ ดินฟ้า เศรษฐกิจ ความรู้รอบตัว วิทยาศาสตร์ การเงิน การธนาคาร การเมือง แค่นี้ก็คงพอแหละ รู้หลายๆอย่างๆ เข้าใจและนำมาปรับใช้กับชีวิตนะครับ

แต่ถ้ายังเลือกจะเสพข่าวจำพวก ถ้าคุณรู้สิ่งนี้คุณจะต้องอึ้ง อะไรประมาณนี้ ผมก็กดunfollow เลยครับ ชีวิตทุกวันนี้แค่น้ำมันปรับขึ้น 40 สตางค์ กูก็อึ้งพอแล้ว โอเคนะ

นิทานเรื่องนี้ไม่มีบทสรุป ขอให้คุณผจญภัยตามใจเลือก
เลือกจะเสพไร้สาระ หรือ หาสาระมาเสพ

โชคดีจงมีแก่ท่าน


つづく 


mirror mirror



Friday, 26 June 2015

กบในกะลา

กบในกะลา
ผมทำงานด้านการขาย งานขายของหลายๆอย่างที่ต้องพึ่งพาเครื่องมือสื่อสาร ไม่ว่าจะโทรศัพท์ เมล์ หรือแม้แต่line whatsapp wechat.  การที่มีเครื่องมือสื่อสารหลากหลายช่องทางเพื่อเป็นทางเลือก เพื่อคุยกับลูกค้า มันทีทั้งข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันไป หลายครั้งที่ผมให้ความสนใจในคู่สนทนา ในแง่มุมการเจรจา.. ผมใช้เครื่องมือเพื่อตามงาน และ ส่งข้อมูล แต่เชื่อนะครับว่า ถ้าคุณสนทนาในกลุ่ม มีคนอีกหลายๆคนที่เฝ้ามองคุณ และดูว่าคุณมีปฎิกิริยาตอบต่อสิ่งที่คุยอย่างไร 
ยกตัวอย่าง ผมมีกลุ่มไลน์อยู่หลายๆธุรกิจ มีคนมากมายหลากหลายอาชีพ บางคนลงข้อมูลด้านการขาย ซื้อ แต่เชื่อไหมว่า เขาเหล่านั้นบางคน ไม่ติดตามผลหลังจากลงข้อความ ไม่ลงเบอร์ติดต่อ เมล์ คือคุยกันแค่ทางไลน์เท่านั้น  พอถามส่วนตัวก็นานเป็นชั่วโมงกว่าจะมาตอบ.. 
คนที่กระตือรือล้นในการทำงาน จะมีความรู้สึกว่า คนๆนั้นมีเวลาลงข้อมูลทำ เหมือนคนตกปลาที่รอปลามาติดเบ็ดมากินเหยื่อ พอติด... แต่มันสายไปที่คุณจะดึงขึ้นมา..
บางครั้งเสียอารมณ์ และบรรยากาศ..ในการเจรจา.. 
กรณีนึงที่ผมเจอคือนายหน้าที่ผมฝากงาน เจอคนๆนี้ลงงานขายมากมาย แต่พอถามหลังจากเขาลงเพียงไม่กี่วินาที เขาก็หายไป แสดงว่าลงแบบforwardในหลายๆกลุ่ม แน่นอน ผมก็ตามไปถามส่วนตัว เขาตอบง่ายๆมากว่า กำลังยุ่ง... 
ครับรับทราบว่ายุ่ง แต่ใครก็ตามที่บอกว่า ยุ่ง ไม่มีเวลา คนแบบนี้เขาให้ความสำคัญในเนื้องาน หรือ ธุระที่คุณได้ฝากไว้ไหม เหมือนคนทำแบบจับจด ไม่ชัดเจน 
การตอบที่ฉลาดคือ เดี๋ยวผมมาตอบนะครับ เวลาประมาณ...... ต้องขอโทษนะครับ ขอบคุณที่ติดต่อมา นี้ต่างหากคือคนที่ฉลาดตอบ.. และต้องรักษาสัญญาว่าจะติดตามงาน และตอบตามเวลาที่แจ้งไว้ ผมเคยพูดเรื่องเครดิต ในแวดวงใดๆก็ตาม สื่อ การสื่อสารมันไปไวมาก คนพูดกันในแง่ร้าย ข่าว ข้อมูลจะแพร่ไปเร็วมากกว่าข่าวดีเสมอ.. ถ้าไม่อยากเป็นข่าวร้าย จงรักษาเครดิตของคุณ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และศักดิ์ศรี ไว้ให้ดีที่สุด 
สุดท้าย...
อย่าโกหกว่ากำลังทำงาน ตามเรื่องงาน หรือวุ่นวายกับธุระทั้งๆที่ตัวเองนั่งเล่น เพราะมันเพาะสันดานเสียๆ ที่สร้างให้คุณไร้ความรับผิดชอบ และถ้าคุณทำไม่ได้จริงๆบอกกับคู่เจรจาของคุณด้วยความสุภาพ ผมว่าไม่มีใครตำหนิ ถ้าเราพูดความจริง หลายคนที่ไม่อยากบอกความจริงเพราะคิดว่ากะลาที่ครอบไว้จะปกป้องตนได้ แต่เชื่อเถอะ อย่าคิดว่าการประวิงรั้งงานไว้จะทำให้คุณทำงานนั้นสำเร็จ เพราะคุณก็ยังไปรับงานคนอื่นเพิ่มมา ถมๆๆไว้ ถามว่าของเก่าก็ไม่จบ ของใหม่ก็ไม่เคลียร์ นานๆไปใครจะเชื่อว่าคุณทำได้ ลงท้ายคือคนรอบก็มองว่าคุณไม่มีความน่าเชื่อถือ กะลาที่ครอบก็รอแต่มีคนจะทุบ เอาไฟมาเผา เอามีดแทงทะลุกะลาให้คุณตายคากะลาแบบนั้นแหละครับ.. 
ออกจากกะลาสู่โลกความเป็นจริงและเปิดใจว่า...โลกมันกว้าง ทางมันมี และให้โอกาสตัวเองปรับทัศนะคติเสียใหม่ ยังไม่สายนะครับ
อ๊อบ อ๊อบ...

Tuesday, 23 June 2015

สัมภเวสี:นักต้มตุ๋นแห่งวงการอสังหาฯ

ความเดิมจากเมื่อวาน

สัมภเวสี:นักต้มตุ๋นแห่งวงการอสังหาฯ

ผมสังเกตุการณ์ในธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์มาหลายปี สิ่งที่ผมเห็นคือคนหลายจำพวก ตั้งแต่ คนเริ่มหัดทำธุรกิจ จนถึง คนที่เป็นระดับมือพระกาฬของวงการ ผมพบเจอนายหน้าของวงการนี้ หลากหลายประเภท คนที่เป็นตัวจริง จะไม่พูดอะไรมากมาย ไม่ค่อยเล่าprofile ความสำเร็จในอดีต หรือผลงานอันรุ่งเรือง คุยเข้าประเด็น ชัดเจน ตรงมาตรงไป อาจจะมีtrick บ้างเล็กๆน้อยๆ ตามสไตล์ของจอมยุทธ อันนี้เรียกว่า ตัวจริง แต่มากกว่าครึ่งในวงการนี้ เป็นพวกจับเสือมือเปล่า ไม่สิ เรียกว่าจับควันในอากาศมากว่าครับ คือ อธิบายง่ายๆ ในธุรกิจซื้อขายอสังหาฯ ประกอบไปด้วย ผู้จะซื้อ ผู้จะขาย และ นายหน้า 
แต่ก่อนก็ง่ายครับ นายหน้าอาจจะรู้จักผู้ขาย หรือ ผู้ซื้อ แล้วก็match นัดมาเจรจา ตกลงเงื่อนไข ปิดdeal ได้เงินค่า commission สบายใจกันไป แต่ด้วยยุคสมัยเปลี่ยนไป นายหน้าเริ่มมากขึ้น  คนขายมีมากขึ้น คนซื้อก็ไม่ได้มากขึ้นตาม กลายเป็นว่า นายหน้ารับงานต่อกันหลายๆทอด กลายเป็นคำพูดในวงการการว่า สายสั้น สายยาว ยิ่งยาวแปลว่า นายหน้าต่อกันหลายๆทอด ยิ่งมากคน ก็ยิ่งมากความ เพราะเรื่องผลประโยชน์ commission ใครๆก็อยากได้มาก เป็นเรื่องปรกติ  เพราะคิดว่าตนเองสำคัญ หลายครั้งที่deal ล่มชนิดไม่เป็นท่าเพราะนายหน้าต่างไม่ยอมกัน คนที่เสียโอกาส ก็คงไม่ใช่ใคร ก็นายหน้านิแหละ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอกัน  อันนี้ชี้ให้เห็นว่า การไม่ยอมถอยกัน จะทำให้เสียงานทั้งกระบวน

วันนี้เล่าเกริ่นยาว เรื่องวงการนายหน้าอสังหาฯ มายาวเลย เข้าเรื่องเลยละกัน สำหรับสัมภเวสี ที่ผมได้พูดไว้ตอนต้นนั้น มันมีจริงครับ เริ่มด้วยจากการที่ใครสักคนได้โฉนดที่ดินมาจากเพื่อน สมมติว่าเป็นคุณเองนิแหละ ที่มีเพื่อนสนิทชื่อ นายเอ นายเอบอกคุณว่าที่ดินแปลงนี้เป็นสมบัติของเจ้าคุณปู่ อยู่ในซอยทองหล่อ กรุงเทพ เป็นบ้านเก่าเนื้อที่กว่า สิบไร่ นายเอ ผู้อยากเป็นนายหน้า ก็เริ่มไปศึกษาในอินเตอร์เน็ท ไปลงขายในเว็ปต่างๆ จนกระทั้งไปเจอ นางสาวเจน(นามสมมติ) นางสาวเจนบอกว่า ตนเองเป็นนายหน้า มีลูกค้าต้องการซื้อที่แปลงนี้ มีงบไม่จำกัด ขอให้ส่งรายละเอียดหน้าโฉนด พิกัด แผนที่ มาก่อน ทางemail , Line หรือfax (ใครยังใช้fax อยู่นิ ผมว่าอายุน่าจะเกิน 50 ไปแล้ว) ในการส่งข้อมูล

นายเอ จะคิดว่า การเป็นนายหน้ามันช่างง่ายจริงๆ หลังจากส่งไปแล้ว นางสาวเจน ก็เงียบหายไป โทรไปก็ไม่รับ ไลน์ไป เมล์ไปก็ไม่ตอบ หลังจากนั้นไม่นาน คุณเองจะได้รับโทรศัพท์มาที่บ้าน หรือมีคนแปลกหน้ามาขอพบ มาถามหาที่ดินแปลงเจ้าคุณปู่ที่ทองหล่อ นั้นแหนะ นายเอ เพื่อนคุณไม่มีทางรู้หรอก ว่าคุณกำลังจะขายที่แปลงนี้ให้กับทีมของนางสาวเจน หรือ ทางทีมของนางสาวเจนนี้แหละ ที่จะเอาข้อมูลจากคุณต่อ เพื่อเอาไปเสนอนายทุน(ซึ่งจริงๆก็ไม่มีหรอก แต่ขอเก็บข้อมุลเอาไว้ เผื่อว่าในอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะมีใครหานายทุนได จะได้มาจับmatch) คนกลุ่มนี้ทำงานกันเป็นทีม นางสาวเจน นั้นเป็นนกต่อ มีทีมงานที่เป็นระบบในการเข้ากรมที่ดิน เพื่อขอดูหลังโฉนด นำชื่อที่ได้ไปหาในระบบทะเบียนราษฎร์ เพื่อหาที่อยู่ หากทราบชื่อจริง นามสกุลจริง ก็แค่หาในGoogle ลงไป แค่นี้ก็อาจจะได้ทั้งเบอร์มือถือ และที่ทำงาน

การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวนับว่าเป็นพวกทีมงานเจาะ หน้าที่คือ เจาะหาตัวเจ้าของอสังหาฯ หรือ เจาะย้อนหานายทุน โดยจะข้ามหัวนายหน้าที่ขวางหน้าทั้งหมด จึงไม่แปลกที่ในอดีต นายหน้าบางคนจึงถูกสังหารเหี้ยมโหด

ในวงการอสังหาฯ สมัยนี้ ข้อมูลข่าวสาร การลงขายอสังหาฯ มีมากจนข้อมูลล้นตลาด บางครั้งทรัพย์ตัวเดียวกัน แต่ราคาห่างกันมาก เพราะมีนายหน้าบางคนหัวใส ฉันไม่เอาcommission แต่ฉันจะบวกราคาเพิ่มขึ้นไป ราคาอสังหาฯ บางทีจากราคา 500ล้านบาท กระโดดไปถึง 1000ล้านบาท ก็เคยมีมาแล้ว ลองคิดกันเล่นๆว่า จะแบ่งค่านายหน้ามากแค่ไหน นี้อาจจะทำให้การขายไม่จบได้ครับ

กรณีสุดท้ายที่อยากจะกล่าวคือ การรักษาชื่อเสียง เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ เคยกล่าวไว้ว่าคนเรานั้น การรักษาเครดิตสำคัญมากๆ อย่าให้เสีย อีกอย่าง เราอย่าไปเอาเปรียบคนอื่น อยู่ในวงการนี้ถึงจะมีพรรคพวกมีคนนับถือ 2 ข้อนี้ จะส่งเสริมให้เราประสบความสำเร็จ..จำไว้! 

สิ่งที่ผมกล่าวคือ การรักษาเครดิต การที่คุณไปขอเอกสารหรือข้อมูลจากใครก็ตาม ในเรื่องอสังหาริมทรัพย์ แปลว่าคนที่ให้ข้อมูลคุณไปเขาก็หวังลึกๆว่า คุณเองจะทำให้ดิลนั้นสำเร็จ เปรียบเสมือนการซื้อสลากกินแบ่ง(หวย) นิแหละครับ ฉะนั้น หากคุณรับงานมาแล้วก็จงดำเนินมันอย่างเต็มที่ อย่านำเอาเอกสารนั้นใส่ลิ้นชักแล้วไปหาออเดอร์อื่นต่อ วันไหนนึกขึ้นได้ก็ค่อยหยิบเอามาทำงาน มันแสดงว่าคุณก็แค่คนเก็บเอกสาร เป็นตู้เก็บเอกสาร แต่คนที่เขารอคอยว่าที่ของเขาจะขายได้ไหม เขายังคงรอคอยข่าวจากคุณเหมือนเขารอไปรษณีย์มาส่งพัสดุนั้นแหละครับ

อย่าให้ความหวังกับเจ้าของทรัพย์ว่าจะขายได้แน่นอน
แต่ขอให้คุณพยามยามเต็มความสามารถในการขายหรือปิดdeal ให้ได้ ต้องพยามจริงๆนะ
และอย่าเอาเปรียบอีกผ่าย(ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม) โดยการไปนั่งกินกาแฟ แล้วให้เขาจ่ายทั้งหมด
จะทำธุรกิจกับเขา คุณต้องรู้จักคำว่าshare ไม่ใช่take กันตั้งแต่ยังไม่เริ่มงาน บอกเลยครับว่าเจอมาเยอะ อีกเรื่องที่อยากจะฝากเลยครับ เรื่องการพบเจอกันครั้งแรกระหว่างนายหน้า first impression เป็นเรื่องที่สำคัญ ถามว่าทำไมเหรอครับ คนบางคนแค่เจอกันก็ยังไม่ผ่าน ไม่ว่าจะเสื้อผ้า สีผมการแต่งตัว กิริยาท่าทาง
เคยมีอยู่กรณีนึง นายหน้าท่านนั้นมาขอเอกสารอสังหาฯกับผม มูลค่าทรัพย์ประมาณหนึ่งพันล้้านบาท            แต่ขอโทษนะครับ  การแต่งตัวไม่สมกับมูลค่าของทรัพย์ที่จะขาย (อ้างกับผมว่าติดทุนซื้อ) เคสนั้นผมให้ดู ดูอย่างเดียว แล้วดึงเอกสารกลับ บอกคำเดียวว่า ถ้าไม่พาคนซื้อมาเจอก็ไม่ต้องมารับเอกสาร สรุปว่าเคสนั้น นายหน้าคนนั้น ผมติดตามถาม โทรก็ไม่รับ และ ไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย !! 


Monday, 22 June 2015

มาขายที่ดินกันไหม

เป็นเรื่องปรกติในยุคสมัยที่หลายๆคนต้องมีรายได้เพิ่ม บางคนก็หาของมาขาย ซื้อมาขายไป บางคนก็ลงทุนไปหาความรู้ในการหางานเสริม และที่นิยมไปทำคือธุรกิจเครือข่าย ...ในมุมมองผม บอกเลยนะ อะไรที่เขาทำกันเยอะมากแล้ว ถ้าคุณไปทำตาม ก็แค่ลูกไล่ แค่นั้นเอง...

...อีกหนึ่งงานที่หลายคนคิดว่าทำแล้วรวยเร็ว ได้ทรัพย์ก้อนโต นั้นคือการเป็นนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์..

เป็นอาชีพที่เงินมาไว ถ้าขายได้เร็ว ปิดจบเคสได้ไว ส่วนที่ได้ บางรายก็สามารถปลดหนี้ เริ่มต้นชีวิตอย่างสุขสบาย..
คำถามที่ทุกคนอยากรู้ มันขายง่ายอย่างนั้นเหรอ.. คำตอบคือ ไม่ง่ายและไม่ยากซะทีเดียว

ตลอดหลายปี ที่ผ่านมาผมได้เห็นพัฒนาการ(ไม่ใช่ถนนนะ) ของวงการอสังหาฯ และมุขคำใหม่ๆเสมอ อาทิ  เลขาทุน ทนายบริษัท ติดทรัพย์ ติดทุน  เหล่านี้เป็นตัวละครโผล่มาเรื่อยๆตอนใกล้จะขายได้..มากันเป็นโขลง..ก็มี
งานที่ขายสมัยนี้  พบว่ามีจำนวนมากครับ ที่ลงขายแต่คนที่ขายไม่ได้รู้จักเจ้าของทรัพย์ด้วยซ้ำ แถมที่ดิน แปลงเดียวกัน ราคาก็แตกต่าง แต่มีคนลงขายหลายคน แต่ละคนบอกว่าติดเจ้าของ เอกสารเหมือนกันเป๊ะ..แต่พอตามหาเจ้าของจริง...ตามตัวไม่ได้สักคน เพราะคนที่เป็นตัวจริงก็ ไม่รู้อยู่ไหน(เจอประจำ) กรณีแบบนี้เกิดกับแปลงดังๆ ในย่านธุรกิจการค้า..

ในวันต่อไป ผมจะพูดถึง
สัมภเวสี:นักต้มตุ๋นแห่งวงการอสังหาฯ

Sunday, 21 June 2015

ทำไมต้องธุรกิจเครือข่าย

เรื่องธุรกิจเครือข่าย

หลายคนต้องเคยเจอ ด้วยเหตุผลที่มีคนทำจำนวนมาก หลายคนเจอ พบ ประสบ กับสิ่งที่คล้ายๆกันคือ
มันเหมือนลัทธิ หรือ โลก อีกใบของคนกลุ่มๆนึง

กาลครั้งนึง ผมเคยไปร่วมทำธุรกิจเครือข่าย หรือ ขายตรงที่เราๆท่านๆรู้จัก ถามว่าสินค้าดีไหม ก็ดีนะ ธุรกิจการจ่ายผลประโยชน์ดีไหม ก็ดี แต่ประเด็นที่ทุกคนไม่ชอบคือ ทำไมต้องซื้อของยี่ห้อนี้ตลอด ทำไมต้องทำแต้ม ทำยอด ทำไมต้องไปประชุม ทำไมต้องสัมมนา ทำไมต้องพาเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องมาสมัคร และคำถามอีกกเป็นพันทำไมก็เข้ามาในหัว

ถามว่าจะมีสักกี่คน ที่ไปยืนพูดบนเวที ที่คนมาฟังต้องซื้อบัตรมาฟัง โดยคนที่ชวนคุณมาฟัง จะอ้างว่าคนที่พูดจะมาช่วยปลุกแรงบันดาลใจของคุณ จะเปิดโลกธุรกิจ และที่ขาดไม่ได้ ต้องขอขอบคุณผู้เปิดโอกาสทางธุรกิจ (แนะนำชื่อupline) ให้ตายเถอะ เวลากรอกใบสมัคร จ่ายค่าสมัคร เวลามาประชุม ค่าเดินทาง เงินที่ซื้อสินค้า upline มันมาช่วยไหม เปล่าเลย เงินเราทั้งนั้น

หลังจากผมใช้เวลากว่า หกเดือนในธุรกิจดังกล่าว จึงได้ข้อสรุปดังนี้
1.เราเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคแบบสมบูรณ์แบบไม่ได้ หมายถึง ใช้ทุกสิ่ง ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างของเครือข่ายไม่ได้หรอก
2. ธุรกิจนี้ คือการหาผลไปยังเหตุ หมายถึง upline ระดับสูง จะโชว์ภาพความสำเร็จ เช่น รถหรู การท่องเที่ยว การใช้ชีวิต (ซึ่งนั้นคือผล)และลากมาโยงถึงว่าเหตุ คือ ธุรกิจเครือข่าย จึงเป็นที่มาของการได้มาของสิ่งเหล่านั้น
3. ผมเสียเพื่อนดีๆ และคนรู้จัก เหมือนพอรู้ว่าผมทำธุรกิจเครือข่าย ก็คล้ายๆกับผมไปเข้าลัทธิจานบินย่านปทุมธานี พอไปเข้ากลุ่มไหนก็แตกกระเจิงกันหมด

กล่าวง่ายๆคือ มันไม่เหมาะกับคนที่คิดนอกกรอบ คนที่คิดว่าเวลาเท่าๆกัน สามารถทำอะไรที่มากกว่าการพาคนไปประชุม และการหาเลี้ยงชีพที่สมฐานะ

ผมให้คำแนะนำสำหรับคนที่คิดว่าอยากทำ ธุรกิจเครือข่ายนะครับ
- ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ พูดเรื่องเดิมๆ เล่าเรื่องเดิมให้หลายๆคนฟังบ่อยๆ อย่าทำ
- ถ้าคุณเป็นคนใจไม่เย็นพอ ที่จะฟังคำโต้แย้ง คำปฎิเสธ คำคัดค้าน จากทุกคนที่รู้จัก ก็ อย่าทำ
- ถ้าคิดว่ามันคืออาชีพสุดท้ายของชีวิต งาน หรือ ภารกิจ สุดท้าย ที่บางคนบอกว่า เหนื่อยชั่วคราว สบายชั่วโคตร จงอย่าเชื่อ เพราะ ถ้ามันสบายจริงๆ upline ที่อยู่ในธุรกิจนี้ ทุกวันนี้ มันไม่ต้องมาพูดบนเวทีหรอก
- จงดูคนที่ทำธุรกิจนี้ก่อนคุณ ดูว่าเค้าเหนื่อยแค่ไหน แล้วเค้าสำเร็จแค่ไหน กับเพื่อนอีกคนที่ทำธุรกิจส่วนตัว จงเปรียบเทียบกัน และใช้หัวสมองคิดเอาเอง

สุดท้าย ธุรกิจเครือข่าย ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของคนที่ไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน มนุษย์เงินเดือนทุกคนอยากออกนอกกรอบ แต่ก็กลัวที่จะต้องออกจาก safety zone เอาหล่ะ ผมจะบอกในตอนต่อไป ว่าทำยังไงให้เป็น คิดนอกกรอบ ในสไตล์ที่ควรเป็น