C L I C K

Saturday, 26 November 2016

คนไทยแชร์จนไร้สติ

ที่เรียกว่าคนไทยแชร์จนไร้สติ ส่งต่อข้อมุล ข้อความกันจนไม่ได้ตรวจสอบว่า
เรื่องราวที่ได้อ่านมา จริงหรือ ไม่จริง
 
นักการตลาดบางประเภท สร้างViral marketing เพื่อให้คนทั่วไปดู แชร์ ส่งต่อ กลายเป็นการทำการตลาดแบบนึง ในช่วงเวลานึงที่ได้รับความนิยม แต่มันเป็นเรื่องไม่จริง หวังประโยชน์ทางการค้า และเป็นวิธีที่สุดท้าย ผู้บริโภคก็รู้ว่าตัวเองเป็น"เหยื่อ" ทางการตลาดและกลายเป็น"ไอ้โง่" ในช่วงเวลาต่อมา
ข่าวลือ โดยที่มีสรรพนามว่า "เค้า" เล่าว่า "เค้า"บอกว่า ซึ่งก็ไม่อาจจะหาที่มาว่า "เค้า" คือใคร หรือคือตัวละครสมมติ ที่ไม่มีจริงๆ แต่คนที่สร้างข่าวลวง ก็เพียงหา สรรพนามยกขึ้นมาเท่านั้นเอง 
ในสังคมสมัยนี้ ถ้าคุณเล่น social network คุณจะพบข้อมูลมากมาย บางเรื่องก็เป็นเรื่องจริง บางเรื่องก็ชวนสงสัย บางเรื่องก็ชวนให้คิดและหาคำตอบต่อ ถึงเวลาแล้วที่เราต้อง แยกให้ออกว่า เรื่องอะไรคือเรื่องที่ยังเป็นข้อสงสัย ยังสรุปไม่ได้ หรือเป็นข้อเท็จจริง ไม่จำเป็นต้องส่งต่อ เพราะบางครั้ง เรื่องข้อเท็จจริงก็เป็นเพียง เรื่องที่นำไปสู่เรื่องการตลาด ของนักการตลาดที่หวังผลให้คุณเป็นผึ้ง ที่เอาเกสร ไปส่งต่อยังพืชต้นอื่นๆ
แล้วจะทำยังไงดี 
ขอยกเอาหลัก กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตตสูตร ก็มี) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่
  1. มา อนุสฺสวเนน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
  2. มา ปรมฺปราย - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
  3. มา อิติกิราย - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
  4. มา ปิฏกสมฺปทาเนน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
  5. มา ตกฺกเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเดาว่าเป็นเหตุผลกัน
  6. มา นยเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมานคาดคะเน
  7. มา อาการปริวิตกฺเกน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเดาจากอาการที่เห็น
  8. มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่                   พินิจไว้แล้ว
  9. มา ภพฺพรูปตา - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อถือ
  10. มา สมโณ โน ครูติ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครู           ของเรา
เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ
ตามหลักกาลามสูตร จะว่าไปแล้ว ก็ควรจะเป็นทฤษฎีว่าด้วยตรรกะ บางสิ่งไม่จำเป็นต้องเชื่อเพียงเพราะได้ยินเขามา มันคือเรื่องที่เล่าสืบกันมา การเดา การอนุมาน หรือเดี๋ยวนี้เรียกว่า มโน กันไปเอง ก็มี
ดังนั้นการฟังหูไว้หู อาจจะเป็นทางออกที่ดี แต่การแชร์ไปทั้งๆที่เรื่องนั้น อาจจะเป็นภัยต่อคนที่ถูกส่งต่อ มีคำนิยามว่า Cyber Bully ซึงเรื่องนี้ อยากให้ชม เรื่องนึงที่ทาง  Dtac เคยทำไว้ 2 แบบ 
หรือคุณจะเลือกเป็นแบบที่สอง
เราเลือกที่จะเป็นผู้ดู หรือผู้ส่งต่อ จะเป็นผู้หยุด หรือผู้สานต่อ ไม่จำเป็นทุกเรื่องที่เรา่ผ่านตา เราจะต้องส่งต่อ ลองพิจารณาดูนะครับ ถ้าคุณส่งต่อข้อมูลเท็จ ยิ่งมันเท็จมากเท่าไหร่ ความน่าเชื่อถือของตัวคุณ ต่อสายตาคนอื่นๆ ในSocial network คุณก็คงไม่ต่างจากเด็กเลี้ยงแกะในนิทานอีสป
กาลครั้งหนึ่ง สมัยเมื่อเกือบ 60-70 ปีที่แล้ว มีคนตะโกนในโรงภาพยนตร์ ว่าคนๆนึงทำการลอบปลงพระชนม์ฯ ผมมองว่านั้นคือจุดเริ่มต้นของการทำ Viral rumor คำถามที่ผมยังคิดเสมอคือเขาต้องการปล่อยข้อมูล เพื่อหวังผล สร้างจิตวิทยา ปั่นประสาท ฯลฯ
สุดท้ายแล้ว...เราควรพิจารณาข้อมูล ทุกครั้งไม่ว่ามันจะคือข้อมูลอะไร คุณอาจจะเป็นผู้ช่วย หรือ อาจจะเป็นผู้ร่วมทำลายก็เป็นได้ หรือสุดท้าย คุณก็คือ คนโง่ ที่ชอบแชร์..ในสายตาคนอื่น




Reference:https://th.wikipedia.org/wiki/กาลามสูตร

Sunday, 13 November 2016

พฤติกรรมของมนุษย์(ทั่วไป) ในมุมมองข้าพเจ้า

หลังจากที่ผมสังเกตพฤติกรรมคนรอบข้าง
ผมเริ่มพบว่าคนส่วนมากมักชอบทำตามกัน ทำในสิ่งที่คนอื่นได้ทำก่อนแล้ว
แล้วเมื่อมีใครคนใด ที่กระทำ หรือ คิด หรือ ปฎิบัติที่ต่างออกไป จะถูกมองว่า
เป็นคนประหลาด คิดต่าง แตกแยก และ นอกคอก

สิ่งที่คุณจะสังเกตง่ายๆคือ เวลาที่คุณไปเดินตลาดนัด ไม่ว่าแผงค้าขายไหน
ก็ขายสินค้าคล้ายๆกัน แต่ทำไมคนส่วนมาก ต้องไปรุมกันที่ร้านคนเยอะๆ
บางคนเข้าไปดู เพราะอยากรู้ว่า เค้ากำลังมุงดูอะไร ถ้ามันเข้ากับสิ่งที่คนๆนั้น กำลังสนใจ
ก็อาจจะใช้เวลาดูต่อ หยีบจับ และสุดท้ายก็ซื้อ 

ร้านอาหาร ถ้าร้านไหนคนเยอะๆ จอดรถยากๆ ที่ไม่ค่อยว่าง ทำไมยังต้องไปแย่งกันเพื่อไปกิน เราเดือดร้อนมากขนาดนั้นเลยหรือ จำเป็นต้องแก่งแย่งที่เพื่อได้ที่ ขนาดนั้นเหรอ
ระบบการศึกษาไทย ที่นักเรียนต้องไปเรียนพิเศษ ค่าเรียนพิเศษที่ราคาไม่ได้ทิ้งห่างจากค่าเทอม เราถูกสอนมาว่า เรียนหนังสือเก่งๆ จะได้เป็นเจ้าคนนายคน ได้ทำงานเงินเดือนสูง
แต่พ่อแม่รุ่นนึง เคยสอนเราแบบนั้น ที่เค้าสอนเราแบบนั้น เพราะเค้าเป็นมนุษย์เงินเดือน
ว่าง่ายๆ มนุษย์เงินเดือนสอนลูก ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก
ธุรกิจเครือข่าย ทำไมต้องปรบมือให้กับผู้เปิดโอกาส ทำไมต้องไปนั่งเสียเวลาฟังแรงบันดาลใจ
ทำไมต้องไปฟังอบรม ถ้าธุรกิจดี มีแก่นธุรกิจ ไม่ต้องเอาแรงบันดาลใจ ไม่ต้องมาขายคอร์สการขายหรอก เพราะพวกอัพไลน์หารายได้จากการขายคอร์ส มากกว่าขายสินค้าขายตรงซะอีกก็มี

พูดถึงเรื่องเครือข่าย เห็นคนสำเร็จเท่าหยิบมือ ที่เหลือล้มหายตายจาก เลิกทำ ทะเลาะกับครอบครัว เพื่อนฟูง เพื่อนในไลน์ยังบล๊อก ในเฟสเลิกคิดได้เลย unfriend กันไปไม่ใช่น้อย
และระบาดไปจนถึงไลน์กลุ่ม โฟสต์สะบัด แชร์กระจาย จนรำคาญต้องออกจากกลุ่มก็มี
เค้าขายสินค้าเหมือนกัน ด้วยคนกลุ่มเดียวกัน และมีคนอีกมากมายที่ไม่เอา ไม่รับ ไม่ฟัง
และต่อต้านธุรกิจเครือข่าย แต่ทำไมยังมีคนทำ เพราะอะไร

เคยเจอคนประเภทหนึ่ง อยากทำอะไรใหม่ อยากเจอสิ่งใหม่ เบื่อ ซ้ำซาก บ่นรำคาญชีวิต
แต่พอมีคนบอกลองชิม ลองดู ลองทำสิ่งนี้ กลับบอกว่า ไม่เอา กลัว ขี้เกียจ ของเดิมก็ดีแล้ว
...แล้วบ่นทำไมว่าอยากลอง อยากเจออะไรใหม่ๆ 

ทำไมเราต้องไปมุงตามเค้า
ทำไมต้องเบียดต้องแย่ง เพื่อเข้าไปซื้อของเหมือนๆกัน เพื่อใส่ให้ซ้ำกับอีกคน
ทำไมต้องแย่งกินร้านเดียวกัน ในเวลาไล่เลียกัน ในขณะที่มีร้านอื่นๆ ที่คนไม่เยอะและอร่อย
ทำไมต้องทำตามค่านิยม ที่สังคมตั้งมาตราฐาน คุณกำหนดชีวิต หรือสังคมกำหนดชีวิตคุณ
ทำไมบางคนเคยกล่าวว่า อาชีพที่เค้าจะทำอาชีพสุดท้าย คือ ธุรกิจเครือข่าย
ทุกวันนี้กลับไปทำงานประจำเหมือนเดิม องค์กรล่ม หัวหน้าองค์กรก็เลิกทำไปทำงานสายอื่น

คนเราไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ลองผิดลองถูก ไม่กล้า ก็จงอยู่ใน comfort zone ต่อไป รอให้วันที่ชีวิตของคุณต้องมีองค์ประกอบมาบังคับ บงการ กดดัน บีบคั้น ให้คุณต้องหาทาง มนุษย์บางประเภทรู้จักเอาตัวรอด ดิ้นรน แต่บางประเภทเรียกร้อง ขอความเห้นใจ ขอให้ภาครัฐช่วยเหลือ เยียวยา บำบัด...

ถ้าไม่เริ่มทำอะไรเองเลย มัวแต่รอ ไม่นานคุณก็จะกลายเป็นคนที่สังคมทอดทิ้งไว้ ข้างหลัง

Wednesday, 25 May 2016

พฤติกรรมการทำธุรกิจ ของ 2 ชาติ

จะว่าไปแล้วในช่วงระยะ 10 กว่าปีมานี้
ผมได้พบปะกับนักธุรกิจชาวจีน และ เกาหลี มาพอสมควร
หลายคนมาทำธุรกิจในไทย ตั้งสำนักงาน จ้างลูกน้องเป็นคนชาติเดียวกัน
แต่เขาเหล่านั้น กลับพกพาความไม่เข้าใจ"วัฒนธรรม" การทำธุรกิจของทีนี้

ประเด็นแรกเลย....การกินรวบ

ในธุรกิจด้านการท่องเที่ยว  ผมเห็นว่าทัวร์จีนนั้น ที่เข้ามาในระยะหลังๆ ผู้ประกอบการจากจีนเอง ก็เปิดธุรกิจรองรับ ทัวร์ที่ตัวเองส่งมา เรียกว่า คนไทยแทบไม่ได้อะไรเลยจากทัวร์ที่มา จนผู้ประกอบการไทยเดือดร้อน ขั้นหนักสุด คือ มัคคุเทศก์ที่มากับทัวร์ ก็เป็นคนจีน แทนที่จะเป็นคนไทย ทำให้มัคคุเทศก์ไทย
ทำให้เกิดการเรียกร้อง จนกระทั้งเป็นกรณีในsocial มาหลายๆครั้ง แต่ก็เหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น
ซึ่งเรื่องนี้ สร้างปัญหาทั้งภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ซ้ำร้าย นักท่องเที่ยวที่มา ไกด์ที่นำพามา ก็จ้องแต่จะขายของ พูดแต่เรื่องกระเทย โชว์ลามก และสร้างภาพลักษณ์แย่ๆให้นักท่องเที่ยวจีน รับรู้

สิ่งที่ผมเจออกกรณีคือ การเข้ามาของสายการบิน ค่อนข้างชัดเจนว่า สายการบินของจีน(บางสาย) ไม่ต้องการตัวแทนในไทย (GSA : General Sale Agent) ประเด็นนี้การเข้ามาชัดเจน คือทำเอง ขายเอง จัดการเอง ผมเคยเข้าไปคุยกับผู้บริหาร แนะนำไปหลายอย่าง พาไปดูพื้นที่สำนักงาน สุดท้ายเค้าก็จัดการเอง ไม่ได้ให้เราเข้าไปมีส่วนในการขาย และเหมือนผมส่งไปถึงฝั่ง เค้าก็ถีบหัวส่งไม่ได้สนใจ
เรื่องแบบนี้ ถ้าเป็นฝรั่งโดนทำแบบนี้เข้า คงมีคาดหัวเอาไว้เลย แต่ผมก็ไม่อยากอะไรมากมาย
วันนึงเขาก็คงเจออะไรๆ ต่ออะไรเองแหละ (เวรกรรมคงจะชดใช้เองแหละ)

กรณีคล้ายกันกับสายการบินนี้ คือสายการบิน low cost  สัญชาติกิมจิ ซึ่งพฤติกรรม เป็นแบบนี้ครับ  แรกเริ่มเดิมที เข้ามาเปิดเส้นทางในประเทศไทย ก็หาตัวแทนในการทำตลาด หาลูกค้า จนกระทั้งเริ่มมั่นใจในตลาดเมืองไทย ก็ใช้นโยบาย(ที่อ้างว่าเป็นการลดcost โดยมีนโยบายว่า ให้ตั้งบริษัทเอง บริหารงานเอง จัดการเอง และที่สำคัญลูกค้าที่มีอยู่ ก็จัดการเองทั้งหมด ให้เราหว่านพืช แล้วเขาก็มาเก็บเกี่ยวทีหลัง ทำแบบนี้จะให้เรียกว่าอะไรดีหน่ะ

กรณีล่าสุด มีโรงงานผลิต เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทหนึ่ง ดำเนินกิจการมาได้ปีกว่าๆ คนที่ผมรู้จักแนะนำให้ไปคุยกับเจ้าของ เท่าที่ผมคุยคือให้ผมช่วยทำตลาด ขายส่ง-ปลีก สินค้ากลุ่มนี้
ผมทำการศึกษาแล้ว สินค้าน่าเชื่อถือและได้วางขายในหลายๆร้านในประเทศ
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ทุกครั้งที่ผมโทรไปคุยกับหลายๆร้าน พบว่ามีเซลล์ของทางโรงงานเอง มาเสนอแล้ว ราคาที่ผมเสนอไปก็ใกล้เคียงกับทางโรงงาน แถมทางโรงงานก็ไม่จำกัดจำนวนในการส่ง
 (แปลว่า ซื้อกี่ตัวก็ราคาส่งงั้นเหรอ) แล้วที่ให้ผมทำตลาด เพื่ออะไร

หลังจากพูดคุย เปิดใจกัน ผู้จัดการโรงงานของบริษัทแห่งนี้ กล่าวหาว่าผมทำให้ตลาดเค้าเสียหายในด้านราคา ผมย้อนกลับไปว่า คุณทำแบบนี้ ก็คิดจะขายเองคนเดียวอยู่แล้วนิหน่า
คิดจะผูกขาดทั้งประเทศ  ผมบอกว่า ระบบการจัดการเรื่องราคาก็ไม่มีบอกว่า ราคาแนะนำให้เสนอลูกค้าเท่าไหร่ อย่าขายต่ำกว่าเท่าไหร่ ไม่ให้เกินเท่าไหร่
ระเบียบไม่ชัดเจน กฏกติกา ก็ไม่มีระบุ ใบเสนอราคาก็ไม่มี
ใช้ระบบเขียนแล้วถ่ายรูปผ่านมือถือ
Excelก็ไม่ใช้ ขาดความเป็นมืออาชีพเลย ทำแบบนี้ไม่นานนักก็จะมีปัญหา

ประเด็นที่สอง...ไม่เข้าใจวัฒนธรรม
จากประเด็นแรกที่กล่าวไป คือ การกินรวบ ทำให้พยามแทรกแซงตลาด
โดยพยามให้เป็น B2C( business to Customer)
ซึ่งจริงๆแล้วควรทำทั้งสองทางคือ B2B (business to business) & B2C

การวางแผนการตลาดในมุมมองเขาเพื่อลดช่องว่าง ระหว่างโรงงานถึงผู้ซื้อ (ก็เพิ่มกำไรให้กับตัวเอง) การทำแบบนี้ ถ้าธุรกิจคู่แข่งที่รู้ทันกัน ไม่ยากครับ ถล่มกันด้วย price war (สงครามราคา)
เล่นกันที่ราคาซึ่งเป็นไม้ตาย (ตายทั้งตลาด) โรงงานที่ผมกล่าวมายังไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้หรอก เพราะเรื่อง price war  นั้นคุณจะเห็นตัวอย่าง ได้จากตลาดเสื้อผ้าในประตูน้ำ
ตัวเดียวราคาส่ง ทำแบบนี้ คนขายส่งก็เหนื่อยเปล่าๆ
ต้องหั่นเนื้อตัวเองตลอด สู้กันที่ราคา แถมแบบมาใหม่ โดนร้านคู่แข่งมาก๊อปปี้อีก
ทำธุรกิจไปเพื่อค่าเช่าร้าน ค่าจ้างลูกน้อง สำหรับคนที่รวยขึ้นคือเจ้าของที่ เพราะค่าเช่าก็ขึ้นเรื่อยๆ

อีกอย่างก็คือ ขยับธุรกิจของตัวเองไปเล่นตลาดที่สูงขึ้น แต่ด้วยความเป็นสินค้าจากจีน การขยับposition ไปเป็นสินค้าที่hi-end หรือ high position  นั้นมี cost ที่ต้องใช้ไม่ใช่น้อยๆ ยกตัวอย่าง OPPO / Xiaomi / Huawai สินค้าเหล่านี้ นับว่ามีpartnerในไทยที่ดี ในการแนะนำการเข้ามาและวางตัวที่ถูกต้อง
เพื่อให้ถูกจริตกับพฤติกรรมการบริโภคคนไทย สำหรับมือถือตามตลาดนัด อันนั้นก็แล้วแต่ความโชคดีของคนซื้อ ถ้าแบตบวม เครื่องมีปัญหา เอาไปเป็นที่รองแก้ว หรือที่ทับกระดาษเถอะครับ เพราะมันไม่มีรับประกันหลังการขาย แน่นอน

ผมอยากจะบอกจากใจจริงๆว่า สินค้าจีนที่ดีมันมี แต่ราคาไม่ถูกนะ เลยไม่มีใครเอามาขาย ว่าง่ายๆ เราเองอยากได้ของถูก แต่คุณภาพดี (มีเหรอ) อยากได้ smartphone รุ่นแบบหมื่นกลางๆ แต่งบมียังไม่ถึง ครึ่งของราคานั้น คุณอาจจะต้องไปคบกะมือถือของค่ายเจ้าของเดียวกับร้านสะดวกซื้อ
เวลาสไลดเลื่อนจอแต่ละที  แทบจะต้องปั่นจักรยานไปปากซอยแล้วกลับมา
แล้วหน้าเพิ่งเลื่อน (จะช้าอะไรขนาดนั้น)

ทั้งสองชาติที่ผมยกตัวอย่าง มีมุมมองในการทำธุรกิจในไทย แบบไม่เข้าใจทัศนคติลึกๆ เขาอาจจะมองเพียงฉาบฉวย เนื้อในคนไทยเองเราเป็นมิตรกับทุกคน แต่การทำแบบนี้ โดยเฉพาะจีน ที่คนทำธุรกิจส่วนนึงพยามกอบโกย เหมือนหมูในเรื่อง Angry Bird นั้นแหละ เข้ามายังเกาะนก โปรโมตว่ามาอย่างมิตร แต่จริงๆก็หวังมาเพื่อกอบโกยอย่างเดียว แล้วก็ทิ้งอะไรๆ ไว้ให้เป็นขยะ ก็เหมือนทัศนะคติของคนไทยส่วนมากที่มีต่อทัวร์จีน นั้นแหละครับ ไม่มีมารยาท หยาบคาย โวยวาย ไม่สำรวม ซึ่งผมบอกได้เลยว่า ถ้ามีเอกสาร คู่มือ และมีกฏระเบียบที่เข้มงวด คนพวกนี้ก็ไม่ทำหรอก แต่เราต่างหากที่ปล่อยปะละเลย

สำหรับเกาหลีเองนั้น อาจจะเบากว่าจีนอยู่บ้าง แต่เรื่องความดื้อ ในการทำธุรกิจก็มีพอๆกัน ไม่รั้นจนสุด ก็มุทะลุจนเว่อร์วังอังกา ในบางครั้ง แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ เขาทั้งสองชาติก็จะไม่รุกต่อ

สรุป...1.การทำธุรกิจกับชาติทั้งสองนั้น คุณต้องชัดเจนกันแต่แรก เข้าใจจุดยืนให้ตรงกัน รัดกุม ตีกรอบป้องกัน ทุกๆด้าน  ถ้าคิดจะทำธุรกิจกัน ต้องเอาให้ชัดๆแน่ๆ ว่าคุณจะทำอะไร แล้วไม่ให้เขาทำอะไรล้ำเขต นอกเหนืออาณาเขตบริเวณของคุณ ว่าง่ายๆ อย่าล้ำเส้นกัน เหมือนกรณีเครื่องใช้ไฟฟ้าของผมที่ผมยกตัวอย่างไป อยากจะขายเองเหรอ เอาเลย ฉันไม่ช่วยเธอขายหรอก เพราะเธอเองก็คงจะเอาลูกค้าฉันไป ด้วยการแข่งขันเรื่องราคา ก็เป็นเจ้าของสินค้าเอง จะกำหนดอะไรก็ได้ อันนี้เรียกว่า ได้ตลาดแล้วก็ถีบหัวส่งครับ

แถม....2.
ในระยะยาวนั้น แผนของจีน คือการขยายตัวฐานเศรษฐกิจไปทั่วโลก ดูได้จากนโยบาย
one silk,one road( 一带一路)  ซึ่งจะขยายอาณาเขตการค้าไปทั้งทางทะเล  และทางบก

ดูได้จากแผนการที่จีนวางไว้ นับว่าน่าติดตามเลยทีเดียว ผมหวังสิ่งที่ผมเขียน อยากให้คนจีนและคนชาติอื่นๆ ที่คิดจะเข้ามาลงทุน ค้าขายในประเทศไทยและอเซียน ได้เข้าใจว่า การทำธุรกิจแบบกินรวบ ผูกขาด ไม่เอื้อประโยชน์ให้กับคนในท้องถิ่น จะส่งผลในระยะยาว สร้างความรังเกียจ และสร้างภาพลักษณ์ และ ทัศนะคติไม่ดีแก่ชาติของคุณเอง




ตัวอย่าง...
จำกรณี YIWU modelได้ไหม (China City Complex) ได้ไหม ที่จะมีห้างค้าส่ง มาตั้งที่ถนนบางนาตราด

http://www.sme.go.th/Lists/EditorInput/DispF.aspx?List=15dca7fb-bf2e-464e-97e5-440321040570&ID=1431

http://www.tcdc.or.th/articles/business-industrial/16265/#-China-City-Complex-อภิโปรเจ็คท์-ปั้นน้ำเป็นตัวระดับชาติ-

รูปแบบการทำห้างแบบนี้เกิดกระแสต่อต้านอย่างหนัก เพราะคนกลัวว่า ทุนจีนจะมาแย่งพื้นที่ทำกินในไทย ( คุณลองไปเดินในเยาวราช ในซอยมังกร หรือ ตลาดขายอุปกรณ์มือถือ เสือป่า คนจีนเป็นเจ้าของร้านแทบทั้งนั้น ซึ่งเป็นกลุ่มแต้จิ๋ว [Shantou] )  ถามว่าน่าตกใจไหม ไม่หรอก พวกเขามาเรื่อยๆ ซึมๆ
ยังมีแถวรัชดา ประชาอุทิศ พระรามสาม   ออฟฟิตหลายๆ ออฟฟิตก็คนจีนทั้งออฟฟิต และพูดไทยไม่ได้ก็มี

เริ่มรู้สึกอะไรไหม....แล้วจะทำยังไง.....

ขอให้คุณทำใจกันและตั้งสติ !! สติ!!! สติ!!! อย่าเพิ่งโวยไปก่อน (เข้าใจไหม!!)
ขอให้รับมือกับการเข้ามา และจงเป็นเจ้าบ้านก็ต้องยินดีต้อนรับ
แต่...มาอยู่ในบ้านฉัน เธอก็ต้องมีระเบียบนะจ๊ะ  ต้องถอดรองเท้าไว้หน้าบ้าน ต้องรู้จักมารยาทนะ
และสำคัญต้องมีคนแนะนำการวางตัวให้เป็น ซึ่งตรงนี้
ยังไม่มีธุรกิจรองรับ หากใครมีความเชียวชาญด้านภาษา วัฒนธรรม มารยาท จรรยา
และมีbusiness connection ผมเชื่อได้ว่า การเป็นพี่เลี้ยงให้ธุรกิจเหล่านี้ จะเติบโตได้อย่างยั้งยืน

แต่.....ที่เจอมา เจ้าของธุรกิจไม่ค่อยเชื่อหรือใส่ใจหรอกครับ แนะนำอะไรไป พวกประเภท ข้ารู้ กูแน่
คนเหล่านี้ EGOสูงยังกะยอดเขาเอเวอรเรส ผมนิส่ายหัวหลายๆครั้งที่แนะนำ อธิบายแล้วว่าทำไมต้องทำแบบนี้ ถ้าไม่ทำแล้วจะเกิดผลยังไง  ฟังแล้วทำหน้ามึนใส่ แล้วก็ทำเป็นไม่เข้าใจ
(ใจจริง อยากจะเอาถาดสังกะสี ตีหัวแบบตลกคาเฟ่เลยนะ )

*******************************************************************************

ผมไม่อยากให้ใครมองคนด้วยกัน เหมือนเพลี้ย เหมือนตั๊กแตน 
ที่บินมาเป็นฝูง ลงกินข้าวในนา ในไร่ พอหมดข้าว หมดพืช ก็แห่กันบินไปกินที่แปลงอื่นๆ 
เราไม่สามารถเอาสารเคมีฉีดไล่เขา เหมือนเพลี้ย ตั๊กแตน 
แต่เขาเองต่างหากที่ต้องมีคนบอก สอน สั่ง 
และ ให้เข้าใจว่า Do & don't ในไทยและอาเซียน คืออะไรบ้าง 

ถ้าธุรกิจคุณพัง ก็พังเพราะสิ่งที่คุณคิด และ สิ่งที่คุณทำ 
ผมหวังดีนะ และ อยากให้คุณเข้าใจด้วยว่า
คนบ้านนี้ เมืองนี้ ถึงแม้จะมีเชื้อสายจากชาติคุณอยู่ 
แต่เรารับไม่ได้ กับพฤติกรรมหลายๆอย่าง
ที่เห็นแก่ตัว สกปรก หยาบคาย แถมยัง ไม่มีมารยาทอีก



ดังนั้น เชื่อ(กู)บ้างเถอะ ทุกวันนี้พอพูดว่าสินค้ามาจากประเทศคุณ 
ทุกคนบอกว่า ของดี มีคุณภาพ มีมาตราฐาน มีบริการหลังการขาย
มีรับประกัน เชื่อถือได้ และ อยากซื้อมากๆเลย ( กูประชด!!)
ถามว่าจีนมีโอกาสจะทำภาพลักษณ์ให้ดีขึ้นได้ไหม ได้ครับ แต่มันต้องใช้
ระยะเวลา สร้างความเชื่อมั่น และที่สำคัญต้องเปลี่ยนทัศนะคติ ความเชื่อของเราให้ได้

ทำ(ภาพลักษณ์)ตัวเองให้ดีเสียเถอะ
แล้วอะไรดีๆ ก็จะตามมา 
*********************************************




 reference:
http://l7.alamy.com/zooms/471bf5bdd52044d18fa0f70471c7bcec/ethnic-chinese-thai-investors-view-a-china-city-complex-replica-during-fm4h0c.jpg
http://news.xinhuanet.com/english/2016-04/17/c_135286862.htm
https://en.wikipedia.org/wiki/One_Belt,_One_Road
















Wednesday, 2 March 2016

วัฒนธรรมองค์กร หรือ กรรมกรที่มีองค์การ


มันเป็นเรื่องที่พบเจอมากมายในที่ทำงาน
หากคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน กับการที่คุณจะมีหัวหน้า หรือ คนที่อยู่ในระดับเดียวกับคุณ ที่ทำงานแบบถวายหัว ถวายตัวให้องค์กร เหมือนชาติที่แล้วเขาเหล่านั้น เป็นหนี้บุญคุณกับที่ทำงานอย่างมหาศาล

เอาจริงๆนะ ผมเคยเจอคนประเภทที่ทำงานแบบงานต้องเสร็จ เร่งทุกอย่าง ยุ่งทุกเมื่อเชื่อวัน
ในความเห็นของผม องค์กรใดๆ ที่ทำงานด้วยแผนงานที่มีระบบ ระเบียบ มี Workflow ที่ชัดเจน นั้นหมายถึงว่า แต่ละขั้นตอนการทำงาน มีการกำหนดระยะเวลาแล้วว่า ขบวนการต่างๆนั้นมีขั้นตอนที่ชัดเจน ไม่ใช่ว่า งานมากองตรงหน้า แต่ผู้ปฎิบัติการ กลับนั่งเล่นเกม แช็ทแล้วก็ค่อยมาทำหลังเลิกเวลางาน เพื่อจะได้ OT

แหมะ แบบนี้ คนอื่นๆ ก็ไม่ต้องกลับบ้านนะสิ!!!
ต้องมานั่งรอคุณทำงานคนเดียว ถามว่ามันใช่เรื่องไหม
การแก้ไขการทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม นั้นอยู่ที่นโยบายในระดับบริหาร ไล่ลงมายังฝ่ายปฎิบัติการณ์ หากยังให้ทำงานกันกลับบ้าน สามสี่ทุ่มทุกวัน เชื่อได้เลยว่า ประสิทธิ์ภาพการทำงานในระยะกลางถึงยาวของพนักงานนั้นๆ ก็จะลดลงไปเรื่อยๆ
สาเหตุที่แก้ไขไม่ได้ เพราะ บุคลากรในองค์กรนั้น                มีคนสองจำพวก

พวกแรกคือคนที่อยู่กับระบบมานาน พอมีการจะเปลี่ยนแปลงจากคนที่มองเห็นปัญหา คนเหล่านี้จะมีเงื่อนไข ตั้งแง่ และพยามไม่เปลี่ยนแปลง ซึงถือว่าเป็นตัวปัญหาขององค์กร
พวกที่สอง คือ คนที่เห็นปัญหา พยามจะแก้ มีแนวทางชัดเจน แต่จะถูกคนจำพวกแรก ตั้งคำถามว่า ทำไปทำไม ที่ทำอยู่ก็ดีอยู่แล้ว ยุ่งยาก เยอะ (ล้วนมีคำกล่าวอ้างตลอด) 
สิ่งที่ตามมาคือ คนจำพวกที่สองนี้ ไม่ลาออกจากองค์กรไป ก็ต้องถูกองค์กรกลืนกินไปกับวัฒนธรรมนั้นๆ ผมมองดูแล้วองค์กรบางองค์กรสูญเสียทรัพยากรดีๆไป เพราะด้วยเหตุผลทำนองนี้ไม่ใช่น้อย ถามว่าองค์กรของคุณสูญเสียบุคคลกรกันไปเท่าไหร่กับคนจำพวกแรกที่กล่าวคำว่า 
ก็ที่นี้เป็นแบบนี้, วัฒนธรรมที่นี้เป็นแบบนี้ , เราเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วเธอจะมาเปลี่ยนปุ๊ปปั๊ปได้อย่างไร 

ครับ ใช่ คุณพูดถูก ว่าที่นี้เป็นแบบนี้ แล้วถามว่าที่ทำอยู่ มันมีประสิทธิ์ภาพ มีผลงานที่ดีขึ้นไหม? ถ้าให้วัด KPI กัน ถามว่ามันดีขึ้น หรือแย่ลง
อย่าวัดที่อัตราการเติบโตของยอดขาย แต่ให้ดูถึงความพึ่งพอใจของลูกค้า คู่ค้า และประสิทธิ์ภาพการทำงานของผู้ปฎิบัติการ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบย้อนหลัง บอกได้เลยครับว่า   ยิ่งดิ่งลงเหว แย่ลงเรื่อยๆ

วิธีการจัดการปัญหาการทำงานเกินเวลา และให้ทำงานในเวลาการทำงาน คือการสั่งการนโยบายที่มีรูปธรรม ให้กำหนดขอบเขตการทำงานให้เสร็จในกรอบเวลา เพราะคนเราทำงานวันละไม่เกิน 10 ชั่วโมง หากมากกว่านั้น ร่างกายจะบอบช้ำและอ่อนล้าเกินไป
อย่างต่อมา พัฒนาบุคคลากร ทั้งในการบริหารเวลา การบริหารงาน และการพัฒนาทักษะในมิติต่างๆ
ผมยังไม่ได้พูดถึง ผู้บริหารที่ต้องพัฒนาทั้งในด้านของ EQ ด้วยนะครับ บางองค์กรมีบุคคลากรที่ฉุนเฉียว เกรียวกราด ซึ่งบอกได้เลยว่า ผู้ร่วมงานด้วยนั้น ไม่มีความสุขกับการทำงานและมันทำให้อารมณ์ของผู้ร่วมงานปนเปื้อนความขุ่นเคืองเหล่านั้นไปด้วย และส่งผลไปยังประสิทธิ์ภาพการทำงานในเชิงคุณภาพอีกด้วย
สรุปแล้วยิ่งทำงานนานๆ แล้วคุณไม่ปรับ ไม่พัฒนา ไม่เห็นปัญหาในองค์กร คุณก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเก่าๆ ที่โลกกำลังจะกลืนกิน 
ขอให้คุณปรับเปลี่ยนเถอะครับ ปรับทั้งตัวคุณ องค์กรของคุณ เปิดใจ ยอมรับเถอะครับ ว่าโลกมันหมุนตลอดเวลา คุณให้โลกมารอคุณไม่ได้หรอก คุณนั้นแหละคือคนที่ต้องวิ่งเร็วกว่าโลก และสังคม สำหรับคุณที่ยังอยู่ในแวดล้อมที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง หรือ ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใดๆ พิจารณาความสามารถตัวคุณเองเถอะครับ หากคุณทำดีที่สุดแล้ว หากทำอย่างเต็มความสามารถแล้ว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น 
ในตอนต่อไป ผมจะช่วยคุณหาทางออก กับปัญหาที่เกิดขึ้น ติดตามกันนะครับ 
credit: 
 https://cdn.lynda.com/course/363226/363226-636356422940873530-16x9.jpg
https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTllI5MdviTeW5mpCjfOzVl72LDnmLPE_Riqg3JccRzICuNrQnK
https://images.pexels.com/photos/872957/pexels-photo-872957.jpeg?auto=compress&cs=tinysrgb&dpr=1&w=500



Thursday, 28 January 2016

รุ่งโรจน์หรือพังพินาศ อยู่ที่คุณเลือก

ถ้าคุณขายของONLINE ที่ใช้หนังหน้าตัวเอง  และใช้ facebook account ส่วนตัวในการpost ขายของบางครั้งการใช้วิวาทะด้วยอารมณ์ ที่ขาดสติ เพียงชั่ววูบ ผลที่ตามมา คือยี่ห้อที่ตัวเองสร้างมากับมืออาจจะพินาศ เพียงข้ามคืน หรือ เพียงไม่กี่ชั่วโมง


เรื่องที่ผมพูดมานี้ ฟังดูเหมือนเรื่องใหญ่ และ ดูเกินความจริง แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ได้เกินความจริงเลยประเด็นที่ผมจะพูดในวันนี้คือ การรับมือกับอารมณ์ และ สถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น
บางครั้ง คนที่เป็นเจ้าของfacebook โดยใช้ account ส่วนตัวกับการขายของ เป็นอันเดียวกัน
สิ่งที่ตามมาคือ ใดๆที่คุณพิมพ์ คลิ๊ป หรือ แสดงสัญญาลักษณ์บ้างอย่างออกไป ล้วนแต่มีผลต่อคุณ ไม่ทางตรงก็ทางออ้อม ฉะนั้น ผมขอยกตัวอย่างคำพูดของ แร๊ฟเปอร์ที่ผมชอบ :กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ 

การเอาเรื่องใดๆมาลงโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค
แปลว่าต้องเตรียมใจไว้แล้วว่าเรื่องนี้ให้คนเสือกได้.. ไม่มีคำว่าพื้นที่ส่วนตัวแถวนี้‪#‎คิดก่อนพิมพ์‬January 2 at 8:29pm

ในมุมมองของนักการตลาด ถือว่าเป็นความผิดพลาด เพราะคุณขายของ และ ใช้เรื่องส่วนตัว หากคุณtake side ด้านการเมือง ไปวิจารณ์ หรือ ตำหนิใครต่อใคร นั้นอาจจะเสียลูกค้า อีกกลุ่มก็ได้

ประเด็นสำคัญคือ บางคนเอาอารมณ์ตัวเอง ใช้facebook ที่ทำค้าขาย เอาไปด่าคนอื่น ถึงแม้จะทำไปด้วยอารมณ์ก็ตามเถอะ คู่กรณีคุณอาจจะเป็นเพื่อน หรือคนที่คุณสนิท แต่คนอื่นๆ ที่ติดตามคุณ เค้าไม่มารู้หรอก ว่าคุณไปโกรธ โมโหอะไรมา คุณไปปริ๊ดๆๆ ใส่อีกฝ่าย คำถามคือ ใครดูแย่ในสายตาของคนหมู่มากครับ 

คุณคิดดูนะ ถ้าลูกค้าติดตาม เออ ..เฮ้ย ดูสิ เจ้าของร้านคนนี้ ดูเวลามันด่่าสิ นี้ขนาดเพื่อนมันนะ มันยังด่าขนาดนี้ แล้วถ้าฉันเป้นลูกค้ามัน โอนเงินช้า บ่นนิด ตำหนิ เคลมของ มันไม่ด่ากันบ้านพังเลยเหรอ
แล้วเชื่อไหมว่า ข่าวร้าย ข่าวเสียหาย ข่าวด้านลบๆ หรือแม้แต่ดราม่านั้น แพร่ไปไกล ไปเร็ว และแก้ไขนานกว่าจะกลับมาดีเหมือนปรกติ ว่าง่ายๆคือ สร้างมาเป็นเดือนๆ ปีๆ แต่มาพังเพราะอารมณ์ เพียงแป๊ปเดียว เหมือนสร้างปราสาททรายแล้วเจอน้ำทะเล คลื่นพัดทีเดียว ตูม!!!  หายเรียบ  
เอาหล่ะ จะทำยังไงดี ?!?!?
อยากระบาย อยากเล่นอะไร กรุณาสร้างแยกต่างหากครับ งานก็งาน ชีวิตส่วนตัวก็ส่วนตัวไป คนบางประเภทชอบเอาสองอย่างมารวม เล่นกับงาน ในเรื่องเดียวกัน นี้ยังแสดงให้เห็นบางอย่างว่า คนที่ใช้facebook ในการค้าขาย กับเรื่องส่วนตัว แล้วก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องภาพลักษณะตัวเองเท่าไหร่ ก็คล้ายๆคนที่เปิดร้านขายของ แล้วเอาเงินในลิ้นชักไปซื้อของใช้ส่วนตัว แทนที่จะแยกเงินในลิ้นชัก เงินส่วนตัวก็ส่วนตัว เงินค้าขายในร้านก็ในร้าน อย่าใช้มั่วเอามาปนกัน หลายคนทำกิจการล้ม เพราะเอาเงินทำธุรกิจมาใช้เป้นเงินส่วนตัวครับ 
แยกให้ออกอะไรคือ ความรู้สึก และ สติ 
ถ้าคุณแยกไม่ออกระหว่างเหตุผล และ อารมณ์ ผมขอแนะนำให้คิดเยอะๆก่อนจะกดส่งข้อความ ระลึกเสมอว่าคนที่ติดตามอ่านคุณ มีคุณเป็นไอดอล หรือ คนติดตาม                   เขาคงไม่มาบอกเตือนคุณ ในการกระทำที่ไม่ดี มีแต่คนจะเอาไปซุบซิบ นินทามากกว่า
อย่าคิดว่า ไม่เป็นไร ลบได้ แค่นี้เอง ระลึกเสมอว่า คุณสามารถcapture คนอื่นได้ ก็ให้แปลว่า คนอื่นๆ ก็พร้อมที่จะcapture คุณได้เหมือนกัน หลักฐานมีได้ทุกเมื่อ ถ้าคุณพลาดนั้นอาจหมายถึงความเสียหายหลายๆอย่างที่จะตามมา