C L I C K

Monday 16 November 2015

เสียดายคนอ่าน ยังไม่ตาย

บล็อกของวันนี้ ขอแชร์ประสบการณ์ของผู้ที่เคยเป็นผู้ประกอบการ

เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อหลายปีก่อน เพื่อนผมคนนึง เคยทำธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งทอ ซึ่งในตอนนั้นก็เพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆ ด้วยความที่ไม่รู้จักการทำธุรกิจ ก็เริ่มจากร้านเล็กๆ ในย่านการค้า ระยะแรกนั้น เป็นช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น เพื่อนผมมีรายได้วันละหลายหมื่นบาท ทำธุรกิจกับแฟน ก็เห็นว่าดี เริ่มมีสาขามากขึ้นในบริเวณใกล้เคียง

ทุกวันตอนเย็นหลังเลิกร้าน ก็มีที่ไปไม่กี่ที่ โรงงาน หรือ ห้างฯ ซึ่งเงินที่ได้มานั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเงินหมุนเวียน การหมุนเวียนนั้นประวิงไปด้วยเช็ค ตีเช็คล่วงหน้า ไม่ว่าจะการใช้จ่ายใดๆ แต่fix cost ที่ต้องมีทุกเดือนนั้นคือ ค่าเช่าที่แสนมหาโหด ด้วยเงื่อนไขที่สุดเห็นแก่ตัวของเจ้าของห้างที่นั้น

หลายเดือนผ่านไปเป็นปี เพื่อนผมคนนี้ สุขภาพจิตเริ่มแย่ ความเครียด เพราะขายไม่ดี แวดล้อมกดดัน ด้วย จนสุดท้าย ต้องเลิกกิจการไป

เหตุผลที่ต้องเลิกไป ประกอบไปด้วย สอง สาม ส่วนหลักๆ


อย่างแรกคือ ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนผมกับแฟน สิ้นสุดลง ด้วยเหตุผลบางอะไรบางอย่าง ที่ผมไม่อยาก(เสือก)ถาม

อย่างที่สอง ความผิดพลาดในการบริหารเงินหมุนเวียน และ ความไม่ได้ตระเตรียมธุรกิจขาลง ซึ่งมันเป็นเรื่องปรกติของ วงจรธุรกิจ

อย่างที่สาม เงินรั่วไหล ไปนอกระบบ ซึ่งประเด็นนี้ คือสิ่งที่เหมือนคุณปล่อยให้ปลวก กัดกินบ้านหลังน้อยของคุณ ถ้าคุณคิดว่า  มันก็แค่ปลวก นั้นแหละ วันนึงจะพินาศ แค่เพราะคิดว่าปลวกตัวเล็กๆ

ผมจะขอวิเคราะห์ในสองส่วนหลังครับ

เรื่องแรก ความผิดพลาดในการบริหารเงินหมุนเวียน คือ นำเงินที่ได้จากธุรกิจ ไปใช้ส่วนตัว แทนที่จะแยกว่า อะไรคือเงินทำธุรกิจ และอะไรคือเงินรายได้ส่วนตัว เมื่อนำเงินทั้งหมดมารวมเป็นกระเป๋าเดียวกัน บอกคำเดียว บรรลัย ครับ เพราะคุณจะไม่ได้กำหนดว่า limit อยู่ตรงไหน ต้องจ่ายอะไร เมื่อไหร่ พอหมุนไม่ทัน ก็กลายเป็นต้องหยิบยืม หรือ เอาเงินจากในบัตรเครดิต(กดเงินสด) มาโป๊ะ ซึ่งนั้นคือ ความผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่สุด และเป็นวิธีที่ผิดพลาดอย่างมหาศาล
และมีหลายคนที่กำลังเดินทางสายนี้ คือ นำเงินทำธุรกิจ เอามาใช้ส่วนตัว และไม่รู้ตัวว่ากำลังเดินเข้าสู่กับดักของการล้มละลาย

เรื่องที่สอง เงินรั่วไหล ไปนอกระบบ เป็นsubset ของปัญหาแรก แต่จะมองจริงๆ มันก็เรื่องเดียวกัน แต่เหตุผลที่มาที่ไป ต่างกัน ถามว่าต่างกันอย่างไร เพื่อนผมเล่าให้ฟังภายหลังว่า เนื่องด้วยแฟนของเขา มีผู้ใหญ่ที่บ้าน ที่ต้องดูแล ไม่ได้ทำงาน เลยต้องนำรายได้ เอาไปให้ผู้ใหญ่ที่บ้านใช้จ่ายดูแล ซึ่งประกอบด้วยรถอีกคันที่ต้องผ่อนอีก และตอนนั้นที่เพื่อนผมทำธุรกิจ ก็มีรถที่ไว้ใช้งาน ที่ต้องผ่อนอีก สรุปว่า ต้องผ่อนรถถึงสองคัน ยามที่ธุรกิจขาลง เพื่อนผมเริ่มส่งค่ารถช้าบ้าง โดนปรับบ้างไปตามสภาพ
ตอนนั้นก็ไปซื้อcourse กิจกรรมต่างๆ เป็นเงินหลายบาทอยู่ ในตอนที่ธุรกิจรุ่งเรือง บอกเลยว่า เป็นการกระทำที่ไม่มีวินัยในการทำธุรกิจเลย

ผมได้ฟังแล้วก็ใจหาย กับเงินที่เสียหายไป วิเคราะห์แล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านไป เพื่อนผมคนนี้หมดเงินไปกับการทำธุรกิจนั้น หลายล้านบาท แต่สิ่งที่เขาได้คือ เงินไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง
แต่ประสบการณ์ เรื่องราว นั้น มันมีค่า มาก และสามารถเอามาบอกเล่า ให้หลายๆคนที่กำลังจะดำเนินทางผิดให้กลับตัวใหม่

ทุกวันนี้เพื่อนผมคนนี้ มองเห็นคนใกล้ๆตัว และพยามบอกผมว่า อย่าให้เขาเหล่านั้น ต้องเป้นอย่างทีเขาเคยเป็น เวลาที่คุณตกต่ำ คุณสามารถทำอะไรก็ได้ และผลที่ออกมา มักออกมาในแง่ร้าย
นิสัย สันดานเสียๆ ความหยาบคาย กระด้าง เหมือนหมาบ้า
เพื่อผมนั้นผ่านมาแล้วทุกรูปแบบ ฉะนั้น เวลาที่เขาเห็นใครเสียสติแบบนี้ เขามักจะเข้าใจ แล้วพูดแรงๆใส่แทนเพื่อให้คนเหล่านั้นเรียกสติกลับมา

สรุปตามนี้

เสียสติเพราะหลงในกับดักของคำว่า จมไม่ลง
ถ้าลดลงในเรื่องความฟุ้มเฟือยได้ ก็ต้องถอยเพื่อตั้งหลัก
และยืนให้มั่นคง เพื่อตั้งรับกับปัญหาด้วยสติ

นั้นคือวิธีแก้ปัญหา และหาต้นตอของปัญหา แล้วแก้มันด้วย ปัญญา และะ สติ 



Tuesday 15 September 2015

ราชสีกับหนู หรือพลายงามแห่งทุ่งหญ้าสะวันน่า

ผมคงเปลี่ยนความคิดคนที่อ่านข้อความต่อจากนี้ไม่ได้ทั้งหมด และทุกคน
แต่ผมอยากให้คุณลอง ค่อยๆอ่าน และคิดตามผมช้าๆ นะครับ

ในธุรกิจทุกอย่าง มันต้องประกอบไปด้วย ผู้ผลิต ผู้ขาย และผู้ซื้อ

จะเล่าให้ฟังว่า วันนี้ได้มีโอกาสคุยทางโทรศัพท์กับผู้หญิงท่านหนึ่ง
เธอมีความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจเครือข่าย ว่าง่ายๆ ก็ขายตรงนั้นแหละ
เป็นขายตรงจากทางอเมริกา นางทำมาได้ 5-6 เดือน จริงๆ นางพูดทุกอย่างดูดี สวยงาม รายได้ 2-3 หมื่นบาท ทั้งๆที่ยังทำงานประจำ เคยได้ไปทริปท่องเที่ยวมัลดิฟ ผมสะดุดในแง่เรื่องที่ว่า ผู้หญิงท่านนี้ มีลูกสาวที่ทำหน้าที่เป็นdownline ในการทำงานทุกอย่าง แม่ก็แค่รับเงิน รายได้ดีเชียว
ความใฝ่ฝันของนางคือต้องการเป็นต้นสายของAfrica
ว่าง่ายๆ จะเอาของไปขายที่นั้น ให้คนที่นั้น ได้รู้จักผลิตภัณฑ์ดีๆ
แนวความคิดดี เปิดตลาดดี จะเป็นผู้นำอันยิ่งใหญ่ เห็นระดับเพชรมงกุฎฑูต สองสถาบัน มีบ้านหลังใหญ่ รถแพงๆ เครื่องบินส่วนตัว ทริปท่องเที่ยวระดับโลก  
แต่ช้าก่อนคุณพี่ทั้งหลาย ที่พูดมานี้มันคิอ ผลไปหาเหตุครับ

เอาใหม่ พูดแบบตรงๆ แค่คิดจะเอาไปขายแอฟริกา โดยจะขนไปเอง ไม่ว่าจะส่งทางairfreight หรืออะไรก็ตาม แน่นอน
ด่านแรก สินค้าประเภทนี้ต้องผ่าน FDA (สำนักงานอาหารและยา)
กว่าจะทำพิธีทางศุลกากรที่ปลายทางอีก เรื่องDocuments มันเยอะครับ

อย่างที่สอง จะะรู้ได้ไงว่า สินค้าที่ส่งไปจะไม่หาย จะบอกว่า Africa มีกรณีคือตู้container ถูกปล้น ขโมยมาแล้ว ซึ่งตรงนี้บอกตรงๆว่า ถ้าใครโดนนี้ ยิ่งกว่าโคตรซวย

อย่างที่สาม การสร้างเครือข่ายในประเทศที่คุณไม่รู้จัก อีกอย่างเมื่อหลายปีก่อน ผมเคยโฟกัสที่ตลาดอัฟริกามาแล้ว ช่วงนั้นกรมส่งเสริมการส่งออก บอกว่านี้คือตลาดใหม่ (ใหม่จริงๆ) สิ่งสำคัญคือคุณต้องเข้าใจnature ของคนอัฟริกา ชนพื้นเมืองว่าเป็นคนอย่างไร พี่คนนี้เขาคิดว่าจะขายคนไทยในอัฟริกา การเปิดประเด็นนั้น มันก็เหมือนจะดี แต่ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ การลงทุนบิน 14-15 ชั่วโมงจากBangkok ไป Johannesburg มันไม่ใช่น้อยๆ ทั้งเวลาและเงิน  บอกเลยว่า mindset พี่คนนี้ไม่ผ่าน

ผมวิเคราะห์ง่ายๆนะครับ ถ้าคิดจะไปเปิดตลาดใหม่ มันต้องดู possibility study คือ ศึกษาความเป็นไปได้ ไม่ว่าจะด้วยศักยภาพของคน แวดล้อม อย่าใช้ possibility feeling เด็ดขาด คือการคิดว่า มันต้องขายได้ มันมีโอกาส ใช่ครับ คิดว่ามีโอกาส แล้วทำไมไม่คิดถึงCLMV ( Cambodia / Lao ,Myanmar(Burma) and Vietnam) หล่ะ นี้แหละ ใกล้บ้าน มีความเป็นไปได้และเรารู้จักดีกว่าอัฟริกา

อีกเรื่องคือ การขนส่ง สินค้าผลิตจากอเมริกา ย้ำว่าผลิตจากอเมริกา เจ้าของสินค้าก็คือบริษัท อเมริกัน นิเอง แต่คนไทยคิดจะไปขายที่อัฟริกา คุณคิดง่ายๆ บริษัทระดับโลกแบบนี้ เขาไม่คิดเหรอว่า จะไปเปิดสาขาที่อัฟริกา ดังนั้นก่อนคิดจะไปทำตลาด ก็ควรศึกษาว่าบริษัทแม่ เขามีสาขาแล้วไหม ถ้ามีก็แค่ย้ายตัวเองไป แล้วทำตามแผนธุรกิจ แบบนี้ฉลาดกว่าการขนของไปขาย

สำหรับตลาดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นอัฟฟริกา หรือ อินเดีย นับว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจ แต่ต้องศึกษาให้ดี ผมเคยคุยกับคุณสาธิต เซกัล ท่านเป็นผู้ที่รู้เรื่องและเข้าใจตลาดอินเดียอย่างดี ท่านเคยให้คำแนะนำกับผมว่า อินเดียในแต่ละรัฐ ก็เป็นเหมือนแต่ละประเทศ มีประเพณี วัฒนธรรม พิธีปฎิบัติ ที่ต่างกัน แม้กระทั้งกฏหมาย

อินเดียมีประชากรรองจากจีน มีอำนาจซื้อมาก แต่คนจนก็มากเช่นกัน

แต่สำหรับแอฟริกา มีความซับซ้อน ประชากรด้อยคุณภาพ
เป็นทวีปที่ยังมีการเหยียดผิว
ในขณะที่อินเดียมีเรื่องวรรณะเข้ามาเกี่ยวข้อง

สิ่งนึงที่คนไทยหลายๆคนไม่ทราบคือ ตอนที่อังกฤษ เป็นประเทศล่าอาณานิคม ช่วงที่ไปยึดแอฟริกานั้น แรงงานคนผิวสี ถูกจับมาเป็นแรงงาน
แต่อังกฤษใช้คนอินเดีย มาคุมแรงงานคนผิวสี เพราะอะไรเหรอครับ
เพราะคนอินเดียนิ ตามจี้ เรียกว่า ตามงานชั้นดีเลยแหละ คุมแรงงานได้ดั่งตามคำสั่งของนายฝรั่งเลย
ไม่ต้องถามว่า คนผิวสีในสมัยนั้น โดนกดขี่ ขนาดไหน
แล้วสมัยนี้หล่ะ คนผิวสี ในแอฟริกา ไม่ขยันร่ำรวย ก็จนแบบสุดไปเลยครับ

ความท้าทายในตลาดทั้งสอง มันเป็นเรื่องที่น่าขบคิด เหมืองทองและเพชรหลายๆเหมืองอยู่ในแอฟริกา ดูจะเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ แต่ผู้คนกลับยากจน ถ้าคุณเคยดูหนังเรื่อง Blood Diamond คุณก็คงจะเข้าใจ

ผมให้เวลากับสองตลาดนี้ ใครไปก่อน คลิ๊กกับจริต( consumer Behavior)  ของที่นั้นได้ รับรองครับ ว่าไปรุ่งแน่นอน

ผมเชื่อว่าคนไทย สามารถเป็นผู้นำตลาดเองได้
ไม่จำเป็นต้องไปเป็นเครือข่่าย หรือ downline ให้ใครหรอก

มาเป็นbusiness owner จริงๆ
ที่ไม่ได้มี upline ผู้ยิ่งใหญ่ให้คุณต้องขอขอบคุณทุกครั้งเวลาขึ้นพูดบนเวทีว่า ขอขอบคุณผู้เปิดโอกาส....

โอกาสมีทุกที มีให้กับทุกคน และทุกเวลา
เหลือเพียงแต่คุณจับมันได้ไหม และจับทันหรือเปล่า

Tuesday 4 August 2015

ด้านมืดของ....(ฉ ๑๘ +)

เป็นเวลาหลายวันแล้วที่ผมไม่ได้กลับมาเขียน

เอาหล่ะวันนี้ขอพูดอะไรที่มันมืดๆดำๆหน่อย โดยปรกติเวลาใครๆเขียนเรื่องการตลาด มักเขียนในด้านสว่างด้านสดใส หรือ แม้แต่จะพูดแง่ตำหนิ ก็จะออกแนวเชิงสร้างสรรค์
ผมจะใส่พลังลบๆลงในงานเขียนวันนี้ อาจจะไม่เหมาะกับพวกโลกสวย ไร้เดียงสา หรือพวกแอ๊บแบ๊วนะครับ

โดยมากคนเรามักมีสัญชาติญาณดิบ เถื่อน ความเห็นแก่ตัว และ ความอยากได้ หรือแม้แต่ความเอาตัวรอดนั้นมันอยู่ในสันดาน เพียงแต่ว่าจะเอามาใช้เมื่อไหร่ และโอกาสไหน
อันที่จริง เวลาคุณอยู่ในที่ทำงาน เวลาทำงานกับเพื่อนร่วมงาน หรือหัวหน้า คุณก็คงไม่ทำตัวเหมือนกับเพื่อนสมัย ม.ปลาย ที่จะด่า จะเหวี่ยง หรือแม้แต่จะงี่เง่าใส่ มันทำไม่ได้ เพราะอะไร เพราะคุณกำลังใส่หน้ากาก หน้ากากของสังคม หน้ากากที่ถูกอุปโลกว่าคุณเป็นลูกน้อง เป็นผู้จัดการ เป็นคนของสังคมที่ดี ในแวดล้อมการทำงานที่ดี

คิดว่าดีแล้วเหรอ การที่เป็นคนดีในที่ทำงาน

ก็แค่พนักงานคนหนึ่งที่อาจจะไม่ค่อยลงรอยกับหัวหน้า ไม่เป็นที่รักเหมือนพวกชอบเลียแข้งเลียขา ประจบสอพลอ ไปวันๆ คุณเองอาจจะไม่อยากทำตัวแบบพวกคนเหล่านั้น ที่วันๆไม่ทำห่าอะไร นอกจากประจบประแจง เป็นขี้ข้าของสายตาคนอื่น แต่มันได้ตำแหน่งที่ดีกว่าคุณ
บางทีคนดีๆ ก็เหนื่อยใจกับคนจำพวกนี้

แล้วมีทางเลือกไหม ถ้าไม่ติดว่ามีหนี้บัตรเครดิต หนี้บ้านที่ต้องผ่อน รถที่ต้องส่ง พ่อแม่ที่ต้องดูแล คุณคิดจะออกๆไปให้พ้นๆ จากแวดล้อมส้นตีนอย่างนั้นไหม ใครๆอยากจะทนกับการแข่งขันเอาหน้า เบื่อกับพวกขี้อิจฉา ที่ค่อยกีดกันกดดัน ไหนจะมาเจอหัวหน้าที่คอยจ้องมองดูในสิ่งที่คุณทำ ว่าจะผิดจะพลาดเมื่อไหร่

แล้วจะทำไงดี

มันมีทางเลือกไม่กี่ทาง อย่างแรกคือใส่หน้ากากกลับไป ปิดชีวิตทุกอย่างที่คนอื่นจะเข้าถึง facebook / line/ IG /Twitter อะไรก็ตาม คุณไม่จำเป็นให้คนในที่ทำงานต้องมาล่วงรู้ชีวิตความเป็นส่วนตัว หรือถ้าอยากจะมี ก็ทำเฉพาะออกมาต่างหาก รู้ไหมทำไม เพราะพวกชอบเสือกชีวิต มันมีทุกที่ แล้วคนพวกนี้ชอบเอาข้อมูลเหล่านี้ไปนินทา สร้างนิยาย เล่าไปไม่รู้จบ ฉะนั้น เริ่มที่ตัวคุณ หยุดที่ตัวคุณ
ถ้าคนในที่ทำงานถาม บอกไม่เล่น ไม่มี ไม่ใช้ จบ...

ผมไม่ได้อยากให้ทุกคนสร้างเกราะ ป้องกันตัว แต่ทุกวันนี้ คนมันเป็นแบบนี้จริงๆ

ผมเบื่อหน่ายกับแวดล้อมการทำงานที่ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาอยู่กับในสิ่งที่ตัวเองสนใจ แต่พอใครพลาดมาก็พร้อมที่จะลุกมากระทืบซ้ำ ส่วนตอนเราบอบชำ จะมีคนมาเห็นใจ ถามว่าเป็นไง แล้วพอรู้ก็จะเอาไปนินทาหลับหลังว่าเราอ่อนแอ เป็นจุดอ่อนขององค์กร เป็นภาระของทีม

เหมือนมันจะเข้าใจ แต่เปล่าเลย มันพร้อมทำร้ายเราเสมอแหละ คนแบบนี้

เพื่อนในที่ทำงาน มันไม่เหมือนเพื่อนที่คุณเรียนมาด้วยกัน สันดานต่างกัน และ มันก็ไม่ได้เคยผ่านวีระกรรมต่างๆนานา เหมือนสมัยวัยเด็กของคุณ

ถ้าคุณไม่มีเพื่อนสนิทสมัยชีวิต ม.ปลาย ก็อาจจะยังมี ม.ต้น ที่ยังพอคุยได้บ้าง

แต่ถ้าคุณไม่เหลือเพื่อนเลยสักคน คุณควรพิจารณาตัวแล้วว่า สังคมที่คุณอยู่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
หรือตัวคุณเองที่่มันเป็นปัญหาต่อสังคมนั้นที่ผ่านมา

ถ้าคิดไม่ออก ก่อนนอน ลองทบทวนเวลาที่ผ่านมา ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คุณต้องเป็นแบบนี้

สังคมไม่เคยเลวหรอก แต่คนในสังคมนั้นๆต่างหากที่เลว
อย่าโทษสังคม จงโทษที่คุณยังเอาตัวไปขลุกกับคนประเภทนั้นอยู่
ถ้าเอาตัวออกมาได้ ให้เอาตัวออกมา
เหมือนคุุณอยู่ในเตาไฟ ถ้าคุณร้อน ก็ให้ออกมา เมื่อคุณรู้ว่ามันร้อน
คุณจำเป็นต้องอยู่ต่อไหม ถ้าจำเป็นต้องอยู่ ก็ต้องรู้รักษาตัวเองครับ
สุดท้าย ไม่ว่าคุณจะต้องอดทนกับสิ่งที่คุณทำอยู่ เพื่อและด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง
จงมองโลกในแง่ดี(ที่แม้บางอารมณ์มันไม่ได้อยากจะคิดแบบนั้นว่า....)
คุณยังมีชีวิตอยู่ ยังมีลมหายใจอยู่
ชีวิตเราอยู่ได้ ด้วยความหวัง และ ความปรารถนาที่จะไปข้างหน้า ไปจุดที่ดีกว่าเสมอ

ผมจะเป็นกำลังใจให้คุณ แม้วันนี้ ผมอาจจะเหนื่อยล้าลงไป

#realconceptual


Tuesday 14 July 2015

อย่าหวังพึ่ง...

วันนี้ผมจะพูดเรื่องการพึ่งพาตัวเอง 

สำหรับประเทศไทยนั้น เท่าที่ผ่านมา ในหนึ่งปีเราได้เห็นอะไรบ้าง 
ตอนหน้าหนาว เราเห็นบริษัทใหญ่ๆ เอาผ้าห่มไปแจกชาวบ้านในถิ่นกันดาษ
หน้าแล้ง รอให้ทำฝนเทียม หน้าฝน ให้ทางรัฐฯ หาทางช่วยเหลือ เวลาที่เกิดปัญหาน้ำท่วม
ตลอดทั้งปีเราเห็นแต่ข่าวกับคำว่า 

รอภาครัฐ 
รอคนนั้นคนนี้ช่วยเหลือ 

แล้วถามว่าตัวเราได้เริ่มช่วยเหลือตัวเองกันหรือเปล่า?!?!

ผมเคยอ่านข่าวว่า ทำไมผ้าห่มที่แจกในหน้าหนาวถึงไปแจกซ้ำๆกันทุกปี แล้วหน้าฝน หน้าร้อน ผ้ามันหายไปไหน คำตอบคือ ชาวบ้านเอาไปขายกับคนที่มารับซื้อหลังจากหมดฤดูหนาว
ถามว่าทำไมเขาไม่คิดหล่ะ ว่าปีหน้ามันก็ต้องหนาวอีก อาจจะเป็นเพราะความยากจน อาจจะเป็นเพราะความแร้งแค้น เลยต้องขายอะไรใกล้ๆมือ ออกไปเสียก่อน
ทำไมปัญหาถึงยังแก้ไม่ได้หล่ะ
ก็เพราะคนเหล่านั้นยังคิดไม่ออกนะสิ (พูดแบบกำปั้นทุบดินเลยนะ)

แต่จริงๆแล้วคือ คนเหล่านี้มัก ตีกรอบความคิด ด้วยข้ออ้างที่ว่า ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง กลัวความผิดพลาด
อดีตเคยทำมายังไง ก็ทำแบบนั้นต่อไป
สรุปสั้นๆคือ อยู่ในcomfort zone นี้แหละ วิถีที่ทำมายังไง ก็จะทำอยู่อย่างนั้น
ผมให้ความเห็นแบบนี้ครับ ถ้าตราบใดที่คุณยังคิดในกรอบ แบบคิดเดิมๆ ไม่มีวันที่คุณจะได้ผลที่แตกต่างออกไป แต่ถ้าคุณลองคิดทำอะไรใหม่ๆ แปลกๆออกไป มันคือการทดลอง อย่างน้อยถ้ามันดีขึ้น หรือแย่ลง คุณก็ได้ลงมือลองทำมันแล้ว ดีกว่าทำแบบเดิมได้แบบเดิม เหมือนทุกวันๆ
ย้อนกลับมาพูดถึงการพึ่งพาตนเอง ไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องเห็นแก่ตัว แต่จะบอกว่า ก่อนที่เราจะไปร้องขอความช่วยเหลือคนอื่น เราได้ทำเองแล้วหรือยัง บางคนยังไ่ม่ริเริ่มที่จะทำเองด้วยซ้ำ  มีปากก็พูดไปก่อน ขอให้คนนั้น รอคนนี้ช่วยเหลือ ขอให้คิดเสมอนะครับ ในวันนี้คุณขอให้คนอื่นช่วย วันหลังคุณก็ต้องช่วยผู้นั้นคืน มันเป็นเรื่อง Give and Take ถ้าคุณเริ่มที่ Take ก่อน มันเพาะนิสัยเห็นแก่ตัวเล็กๆนะครับ
ทางที่ดีเป็นผู้ Give ที่ดี มองโลกแง่ดี ให้กับคนที่ด้อยกว่า ด้วยนะครับ
การเป็นคนที่พึ่งพาตนเอง ในแง่ดีคือคุณจะมองปัญหาอะไรต่างๆ ไม่ได้ใหญ่โต มันมีวิธีจัดการ ดำเนินการ และแก้ไข ผมยกตัวอย่าง หลังจากคุณทานข้าวเสร็จ ถ้าคุณมีหน้าที่ต้องล้างจาน คุณเลือกที่จะล้างมันทันที หรือ เอาไว้ก่อนอาบน้ำที่หลัง เดี๋ยวสักพักคุณค่อยล้าง ไม่ว่าจะเลือกล้างตอนไหน ยังไงก็ต้องล้างอยู่ดี จริงไหม บางคนเลือกล้างทันที บางคนเลือกล้างก่อนจะอาบน้ำนอน แล้วแต่เหตุผลของแต่ละคน แต่บางคนกลับไปเรียกอีกคนมาจัดการล้าง โดยอ้างเหตุผลต่างๆ แล้วตัวเองก็ไปนอนดูทีวีสบายใจ อันนี้เรียกว่าไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเอง คุณเลือกจะเป็นคนแบบไหน
ผมมองว่าในสังคมไทย ยังขาดวินัยครับ พอเราขาดวินัย และระเบียบ และการปลูกฝังจิตสำนึก             เราเลยพากันไม่มีหลักยึดและแนวคิด  เราหวังพึ่งพากับอะไรหลายๆอย่างที่จับต้องไม่ได้ ไปหวังพึ่งสลากกิน(ไม่ค่อย)แบ่งของรัฐบาล ฝนไม่ตกก็ไปขอแห่นางแมว และอะไรอีกหลายๆอย่างที่ต้องไปขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ ผมย้อนถามแบบตรงๆ ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ เราอยากแก้ปัญหากันแค่เบื้องต้น แก้กันแบบผ่านๆไป อยากรวยอย่างรวดเร็ว อยากมีอย่างคนอื่น อยากได้มาอย่างง่ายๆ คิดกันได้แค่นี้จริงๆ หรือ? ไม่ต้องดูอะไรกันไกลๆ คนบางคนเลือกประชานิยม แล้วเป็นไง หนี้ระยะยาว นั้นเพราะเราคิดกันสั้นๆ นักวิชาการออกมาบอกแล้ว ก็ไม่ฟัง สุดท้ายมียกเลิกใบจองรถกันมากมาย

เราเองคงต้องมาคิดกันใหม่ ทำอะไรด้วยตัวเอง หาความรู้ด้วยตัวเอง ปัจจุบันแหล่งความรู้มีมากมายหลายทางไม่ว่าจะในอินเตอร์เน็ท หนังสือบางเล่มแทบจะไม่ต้องซื้อ เพราะความรู้มีในนี้แล้ว อยู่ที่ว่าคุณจะลงมือหาความรู้เองไหม

เริ่มเสียแต่วันนี้ เริ่มที่จะเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ และคิดเสมอว่าทำให้ดีกว่าเมื่อวาน

เริ่มจากการทำด้วยตัวเอง ไม่ใช่อ้าปากพูดก่อนจะลงมือทำ

จงเป็นผู้ใหญ่เสียทีครับ มีแต่เด็ก เท่านั้นที่ร้องขอจากผู้ใหญ่

คุณลองมองคนด้อยโอกาส คนพิการ สิครับ บางคนนั้น สู้ชีวิตมากกว่าคนปรกติเสียอีก

อย่าทำตัวด้อยค่ากว่าคนเหล่านั้น ตราบใดที่คุณยังมีอวัยวะครบ 32 และมีสติสัมปัชญะครบถ้วนอยู่
  • ถ้าคุณคิดว่าตัวเองด้อยค่า ลองคลาน ด้วยสองมือสิครับ แล้วคุณจะเข้าใจ
  • ทำไมเขาเหล่านั้นยังต่อสู้ เป็นนักกีฬาพาราลิมปิกได้ แล้วคุณหล่ะ 
  • ทำไมไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
  • ทำไมยังล้มและไม่ลุก
  • ทำไมยังต้องพึ่งพาใครต่อใคร
  • อย่าให้ใครดูถูกว่าคุณยังต้องพึ่งคนอื่นๆ ทั้งๆที่ปรกติครบถ้วน
  • กลับไปคิดดูดีๆนะครับ ว่าคุณยังอยากจะต้องเป็นคนที่ต้องพึ่งคนอื่น หรือ คุณเลือกที่จะพึ่่งพาตัวเอง ด้วยตัวเอง เพื่อตัวเอง

คุณควรจะภูมิใจที่ยังมีความเป็นคน เป็นมนุษย์ ที่ยังหายใจอยู่ 
ผมเชื่อว่าคุณทำได้ และจะทำได้ดีกว่าเมื่อวาน

#จงภูมิใจในตัวเองที่เป็นตัวเอง
#eastsidebangkok
#believe








Monday 6 July 2015

Welcome to the Real World

ขอต้อนรับท่านสู่โลกแห่งความเป็นจริง

หัวข้อที่พาดวันนี้ อาจจะเคยได้ยินในหนังเรื่อง Matrix นะครับ แต่สิ่งที่ผมจะนำเสนอวันนี้
มันก็เรื่อง Marketing สุดแสนจะธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา
ทุกวันนี้มีแต่คนพูดถึงเรื่องการทำตลาด คือ การประชาสัมพันธ์ สื่อสาร กับ มนุษย์ภายนอกองค์กร ว่าง่ายๆก็ลูกค้านั้นแหละ ผมเองนั้นก็ดูแนวโน้มการตลาดตอนนี้คือ คนที่ทำโฆษณาทั้งหลาย เจ้าของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก็ต้องจับกระแสความสนใจของผู้บริโภค ลูกค้า ว่าง่ายๆ พวกเขาสนใจอะไร จับสิ่งนั้นมาเป็นเครื่องมือ ชักจูง ไม่ทางตรง ก็ทางอ้อม จะbrand reminding หรือ pursue ก็ตามแต่จะเรียก
แต่ท้ายที่สุด ก็ให้ลูกค้าเหล่านั้นมาใช้บริการ มาบริโภคสินค้า

ว่ากันว่าคนที่ทำmarketing ในfacebook จะเน้นการให้information มากกว่า การจะมาเน้นขายสินค้า
มากกว่า 70% ขึ้นไปคือ knowledge / information / news ที่เหลื่อๆ ก็update เกี่ยวกับproduct ตรงๆ
คนไม่อยากupdate  บ่อยๆหรอก ยิ่งเน้นการขายมากๆ คนดูก็ยิ่งเบื้อนหน้าหนี เหมือนพวก Clickbait ต่างๆนั้นแหละครับ

หนทางที่หลายๆคนคิดออกคือ การทำ SEO (Search Engine Optimization) หรือ การทำให้คนที่ต้องการsearch เจอในอันดับต้นๆ ใน Google แต่ผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่สิ้นคิด

ถามว่าทำไมสิ้นคิด ลองคิดดูนะครับ
สิ่งที่คุณขาย มันอาจจะไม่ใช่สิ่งใหม่บนโลก แต่วิธีการนำเสนอนิ้สิ ทำยังไงให้มันน่าสนใจ

คุณทำให้page , website คุณขึ้นอันดับต้นๆ จะมีสักกี่คนที่จะclick เข้าไป ถ้ารู้ว่าของที่คุณจะซื้อ มันรวมค่าclick ของคุณไปด้วย ผมเลยไม่คลิ๊ก และไปดูpage อื่นๆ ดีกว่าครับ

ผมเคยคุยกับรุ่นพี่ที่เคารพท่านหนึ่ง พี่คนนี้มีความคิดทางการตลาดที่ยิ่งใหญ่ ทุ่มทุน อัดโฆษณา โปรโมตแบบชนิด บุกป่าเผากระท่อม ปิ้งไก่ (เอ๊ะ ยังไง) แต่ผลที่ออกมา เสียงจิ้งหรีด ดังระงม เงียบกริบ

ผมเลยจับเข่าคุยกับรุ่นพี่ท่านนี้ ว่าทำไมไม่ลองเปลี่ยนความคิดการทำโฆษณาใหม่ ผมคุยกับพี่คนนี้ หลายครั้ง ครั้งละหลายนาที แต่ก็ดูเหมือนกับว่า เราคิดกันคนละแบบ

ประเด็นคือ ผมมองว่าการลงทุนทำ SEO มันมีข้อดีสำหรับธุรกิจที่ต้องการเรียกแขก เรียกลูกค้า แต่ไม่เหมาะกับธุรกิจที่เป็น mass เช่น ขายเสื้อผ้า fashion เพราะ มันเป็นสินค้าที่ substitute
มันไม่มีอะไรที่ unique เว้นแต่ทำออกมาแบบ one piece in the world
โอเค แบบนั้น เอาเลยครับ ไม่มีใครซ้ำแน่ๆ

อีกเรื่องคือ งบโฆษณา หรือ การทำการตลาด เป็นสิ่งที่คุณสามารถทำให้มันเป็นศูนย์ หรือ เป็นสูญ ก็ได้
ถ้าคุณใช้สมองมาก ทำการบ้านเยอะ วางแผนมาดี คุณแทบจะใช้ศูนย์บาท
แต่ถ้าไม่คิดอะไร เน้นแต่จะทำการตลาด (อะไรใครว่าดี ทำหมด) เงินงบที่ใช้ลงไป
ก็อาจจะกลายเป็น สูญ (หลายบาท) นะครับ

ที่ผมใช้คำว่า ศูนย์ กับ สูญ อ่านออกเสียงเหมือนกัน แต่ ความหมายต่างกัน

คุณเลือกจะใช้คำไหน ในการทำโฆษณาครับ
ผู้บริโภคสมัยนี้ ดูว่าคุณมีidea ในการสื่อสารอย่างไรครับ
เน้นโฆษณามากๆ ก็ใช่ว่าจะขายได้เสมอไป
แต่การทำโฆษณาที่ใช้สมองนี้สิ คนจะจดจำคุณได้

ตอนหน้าจะมาว่าด้วยเรื่องอะไรนั้น รอติดตามนะครับ

#การตลาดศูนย์หรือสูญบาท  #EASTSIDEBANGKOK


Friday 3 July 2015

ดินแดนแห่งการคัดลอก

ว่าด้วยเรื่องการคัดลอก หรือ เรียกกันตามภาษาทับศัพท์ว่า ก๊อปปี้(copy)

หลายๆคนคงไม่ชอบให้ใครมาเลียนแบบ หรือ ทำตาม แต่คุณเชื่อไหมว่าในสังคมไทยนั้น หลายๆพฤติกรรมเราทำตามกันอย่างพร้อมเพรียง ยกตัวอย่าง

เรามีTV digital (อันนี้สิ่งใหม่)
ผมคาดหวังว่าจะได้เจออะไรใหม่ๆ แต่กลับเจอรายการเก่าในระบบใหม่ ซึ่งล้วนแต่คัดสรรว่าสาระ(ไม่มี)เหมือนเดิม ไม่ว่าจะละครคุณภาพที่ตบกัน กรี๊ดกัน นางร้าย นางเอก เหมือนเดิน plot เดิมๆ หรือละครremake แบบเดิมๆ

เรามีการShare & Like ในFacebook โดยไม่ลืมหูลืมตา ทำตามๆกัน อย่างกรณีเสี่ยชาเขียว มีpageปลอมหลอกให้แชร์ ก็ทำตามกันไป โดยไม่พิเคราะห์กันเลยว่าข้อความหรือบุคคลที่ส่งสารเหล่านั้น คือของจริงหรือไม่
ประเด็นนึงที่น่าสนใจ กรณีเด็กหาย บางครั้งเด็กคนนั้น พบแล้วจนปัจจุบันโตจนจะเข้ามหาวิทยาลัย (ตอนที่หายยังอยู่ประถม) ลองคิดแหละกันว่าShare กันมามากและนานขนาดไหน คงพอๆกับจดหมายลูกโซ่ที่บอกว่า มาจากพระครูธรรมโชติ นั้นแหละ
พฤติกรรมจดหมายลูกโซ่กับการแชร์อย่างไม่มีวิจารญาณ น่าจะไม่ต่างกัน เพียงแต่เปลี่ยนช่องทางจากจดหมายเป็นfacebook & Line app แค่นั้นเอง

อีกเรื่องที่ผมรำคาญมากๆคือ การที่คนหลายๆคน นำสินค้ามาขายในfacebook ไปแปะในpageต่างๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ขาย ตัวอย่างเช่น page ขายอสังหาริมทรัพย์ แต่มาขายครีมลดถุงใต้ตา ยาลดความอ้วน ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ อันนี้จะโทษว่ามันเป็นโปรแกรมหรือ app ที่สามารถ post อัตโนมัติ ผมไม่โทษทีโปรแกรม app  นะครับ แต่ผมโทษทีคนใช้เครื่องมือเหล่านี้ต่างหาก ลงแบบมั่วๆแบบนี้ ไม่ต่างกับที่แปะบริการเงินด่วน หนี้นอกระบบที่แปะตามเสาไฟฟ้า ตู้โทรศัพท์ เห็นแล้วก็รำคาญตา น่าเบื่อ และที่แย่คือ ไม่ได้เป็นแค่คนสองคน คนพวกนี้มีเป็นร้อยคน ผมเจอในpage ที่ผมดูแล ผมก็block และลบครับ ไม่รู้จะไปตักเตือนทำไม พวกนี้post แล้วไม่เคยตามมาดูหรอก รอแค่มีคนติดต่อมา เหมือนโยนเหยื่อ รอเบ็ดติด
ถ้าคิดจะลงขายสินค้า อย่าทำแบบนี้ ผลระยะยาวคือ ใครๆก็จะรำคาญเหมือนที่คุณเจอหน้าเพื่อนอย่างภาคภูมิใจว่า กูทำธุรกิจเครือข่าย กูทำขายตรง เชื่อเถอะ มากกว่า 90% จะมองคุณอย่างแปลกๆ ดีไม่ดีอาจจะเดินห่างๆ และหายไป หรือคิดว่ายังไงครับ

ผมเฝ้ามองพฤติกรรมหลายๆอย่างของคนไทยในยุคDigital เรามีความอดทนต่ำลงเรื่อยๆ เพราะความที่อะไรๆก็แค่ copy & paste (ก๊อปและแปะ) มันง่ายครับ แค่เอางานคนอื่นๆ คัดลอก ก๊อป แปะ การทำซ้ำมันง่ายกว่าการสร้างสรรค์ จึงไม่แปลกที่รายงานของเด็กยุคหลังๆ ก็หาจาก Wikipedia , Google แล้วก็แปะๆ โดยเนื้อหาก็ไม่ได้มีการตรวจทานแม้แต่น้อย อันนี้เรียกว่าเลียนแบบไม่มีศิลป์

การจะเป็นผู้นำแปลว่าคุณต้องคิดต่างออกไป การสร้างสรรค์งานใหม่ๆ บนพื้นฐานความคิดเดิมๆ ยังคงใช้ได้อยู่



อึกเรื่องที่ผมอยากกล่าวคือ คนทั่วไปชอบทำตามสิ่งทีคนอื่นได้ทำสำเร็จไปแล้ว. ดูตัวอย่าง การทำการเกษตรในประเทศไทย ไทยปลูกข้าวและเป็นผู้ส่งออกเป็นอันดับต้นๆของโลก แปลว่าเรามีเกษตรกรที่มีอาชีพปลูกข้าวเป็นหลัก เราเป็นประเทศที่ส่งออกยางพาราคุณภาพดี ไปทั่วโลก แต่เมื่อราคายางสูง คนส่วนมากแห่กันปลูกโดยคิดว่าราคาจะสูงตลอดจนถึงวันที่กรีดเลยเหรอ ไม่หรอก เมื่อปริมาณยางมีมาก ตามกลไกตลาด ราคาก็จะต่ำลง จากราคา140 ก็ดิ่งลงเหลือ40กว่าบาทมาแล้ว ถามว่าจะโทษใคร มันอยู่ที่แนวคิดครับ ถ้าคุณทำเหมือนคนอื่น คุณก็จะประสบเหมือนคนอื่นๆ ผมไม่โทษที่ชาวบ้าน ชาวสวนต้องมาเผชิญชะตากรรมจนต้องขายสวน ตัดยางทิ้ง แต่ผมกำลังจะย้อนไปสู่ต้นเหตุของวิธีคิดของเรา

ระบบการศึกษาของไทยนับตั้งแต่จำความได้  เราถูกสอนให้ท่องจำ บางอย่างจำกันโดยไม่มีเหตุผลมารองรับ จำเพราะครู อาจารย์บอกให้ท่อง มันคือกระบวนการเลียนแบบ ที่ขาดเหตุผลมารองรับ ไม่นับเรื่องการกระทำทางสังคมวัฒนธรรม เพราะนั้นคือกรอบของขนบธรรมเนียม ที่เราต้องกราบไหว้ผู้ใหญ่ ครู อาจารย์ หรือ พระ แต่ผมหมายถึงความรู้ ที่เราได้มา เราแค่จดจำ แต่ไม่วิเคราะห์ ว่าทำไมต้องจำ ทำ และเชื่อว่ามันจะดี เราเชื่อว่ามันดี มันสำเร็จ และนำความร่ำรวย มาสู่เรา เพราะ คนรุ่นก่อนๆก็ทำแบบนี้ ใช่ มันก็จริง แต่เราต้องเอาปัจจัยอื่นๆ แวดล้อม สังคม และ สถานการณ์ปัจจุบัน มาเป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจ.

แนวพระราชดำริ ไร่นาสวนผสมคือแนวทางการปลูกที่ยั่งยืน จริงๆมองให้ลึกลงไป ไม่ใข่แค่การทำสวนไร่นา แต่พิเคราะห์ลงไปว่า ชีวิตคนเรานั้นอย่าทำงาน ธุรกิจอะไรให้เหมือนทำไร่ ทำนา เพียงแค่พืชชนิดเดียว หากวันนึงพืชชนิดนั้น สินค้าล้นตลาด ก็เหมือนคุณจบวิศวะ ที่ตกงาน เพราะคนจบมามากเกินไป บางคนก็เลือกไปเรียนต่อปริญญาโท เพราะเชื่อว่าปริญญาอีกใบจะทำให้คุณมีภาษีดีกว่า แต่ปริญญาอีกใบก็มีคนจบมามากไล่ๆกับปริญญาตรีอีก...กลายเป็นสินค้าที่ล้นตลาดอีก

แล้วจะทำยังไง...หล่ะ


คำตอบคือ คุณต้องสร้างความแตกต่าง เรียนรู้ และประกอบสิ่งรอบๆตัวคุณด้วยองค์ความรู้ในสิ่งที่เรียน ผสมผสานกับประสบการณ์ มุมมอง และวิถีในการดำรงค์ชีวิต ขอเพียงอย่าตีกรอบ.และดูถูกตัวเองครับ คนเราจะแพ้ก็แค่ใจตัวเองเท่านั้น...

ผมเปรียบเทียบว่าการเรียนประถมถึงมัธยม คือ การเรียนรู้แวดล้อม เรียนรู้สิ่งต่างๆ ในขีวิต

การเรียนมหาวิทยาลัย ในระดับปริญญาตรี คือการเรียนรู้จักเครื่องมือ คุณจบมาคุณก็มีกระเป๋าเครื่องมือหนึ่งใบ คุณจะหยิบอะไรออกมาใช้ก็ได้ ตามความถนัดของคุณ คุณอาจจะหยิบฆ้อนมาตีตะปู ติดรูปบนฝาผนัง หรือ จะเอาสว่านเจาะ ขันน็อต เพื่อติดรูป วิธีการของแต่ละคน ต่างออกไป แค่ผลลัพธ์ก็เหมือนๆกัน บางคนอาจจะเถียงว่า เอากาวสองหน้าแปะก็ติดรูปได้เหมือนกัน ผมไม่เถียง แต่ระยะยาวหละ กาวเสื่อมสภาพรูปตกมาแตก จะทำยังไง

นี้คือวิธีคิด คิดเอาง่ายๆ หรือ คิดยาวๆ หรือจะคิดแบบขอไปที หรือ คิดแบบเผื่ออนาคตมองยาวๆ

ชีวิตคนเราก็เหมือนวิธีคิด และ วิถีการทำงานครับ บางคนเน้นง่ายๆ แต่ไม่ละเอียด บางคนคิดแล้วคิดอีกแต่ไม่ทำสักที แล้วก็มีคนมักง่ายมาเลียนแบบ

แต่จงเชื่ออย่างนึงว่า คนที่ทำก่อน อย่างรอบคอบ วางแผนมาแล้ว จะได้เปรียบกว่าคนที่เลียนแบบ แต่ไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง..

ถ้าคิดจะเลียนแบบอย่างมีชั้นเชิง จงนำความรู้เก่ามาพัฒนาและต่อยอด ให้ดียิ่งกว่า แต่ถ้าแค่จะลอกเลียนแล้วไม่พัฒนา คุณก็แค่เครื่องถ่ายสำเนา ที่ไม่นานสีจะซีดจาง และถูกลบเลือนครับ..









Sunday 28 June 2015

mirror mirror on the wall.

Mirror mirror on the wall

คำๆนี้คนไทยอาจจะไม่คุ้น แต่ถ้าเป็นฝรั่งจะทราบว่ามันเป็นคำพูดของแม่มดในเรื่องสโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด แปลภาคภาษาไทยได้ความว่า กระจกวิเศษจงบอกข้าเถอะ.... บลาๆๆๆ

ในชีวิตคนเราไม่มีหรอกกระจกมาบอกเรา มาอวย มายอ มาชี้แนะ ถ้ามีกระจกแบบนี้หลายๆคนคงไปขอหวย เลขเด็ด นั้นคือสิ่งที่บางคนคิดได้
ผมถามจริงๆ นะ สื่อทำให้เราคิดแบบนี้ หรือ เราเป็นแบบนี้กันมานานแล้ว

พูดถึงเรื่องสื่อ อันนี้ใกล้ตัวที่สุด เรามีหนังสือพิมพ์ ทีวี รายการมากมาย แต่รายการที่เป็น mass ทางrating จริงๆ ก็พวกvariety ต่างๆ จำพวกละคร เกมโชว์ รายการสัมภาษณ์ต่างๆ เอาจริงๆ ผมว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่หันหลังให้กับรายการเหล่านี้ เพราะคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปดู อย่างมากก็ถ้าอยากดูก็ไปดูใน youtube หาเอาในfacebook เดี๋ยวก็มีสำนักข่าว เอาข่าวมาลงให้ดู แต่เดี๋ยวก่อน ข้อมูลข่าวสารเรื่องที่เอามาเป็นประเด็นล้วนแต่ไม่ได้ให้ประโยชน์เลยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ดาราไปกับสามี รูปหลุด( ต้องยอมรับว่า มนุษย์ในสันดานชอบอยากรู้เรื่องชาวบ้าน) อันนี้ปรกติ แต่ถามว่ารูปแล้วมันให้ประโยชน์อะไรกับเราไหม
จำเป็นต้องรู้ไหม 

ในสังคมไทยตลอดวันเราลองมาดูสิ ว่าข่าวที่เป็นประโยชน์จริงๆ ให้สาระ ประดับความรู้เรา มีสักกี่ข่าว

เคยมีท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า ถ้าคุณอยากรู้ว่าประเทศนั้น คนในชาติเป็นอย่างไร ให้ดูว่าหนังสือพิมพ์อะไรที่ขายดี รายการอะไรที่คนนิยมดู และอัตราส่วนของรายการทีวี มีรายการอะไรบ้างเป็นรายการหลักๆ

หลังจากที่ผมลองวิเคราะห์ดูตามแผงหนังสือต่างๆ คุณลองถอยหลังสักสี่ห้าก้าว มองกวาดสายตาในแผงหนังสือ เราจะเจอหนังสืออะไรบ้างที่มีคุณค่า หรือ คุณเจอแต่หนังสือGossip ดารา หนังสือบันเทิง หนังสือพิมพ์ที่มีแต่ข่าวชาวบ้าน รถคว่ำ อุบัติเหตุ อาชญากรรม ข่าวแง่ลบ ภาพดาราถ่ายชุดหวาบหวิวในวันอาทิตย์

ถามว่าเรามีสื่อแบบนี้มากไปไหมในประเทศนี้ ในประเทศที่ควรจะมีการจำกัด category ว่าควรมีเท่าไหร่ บอกตรงๆนะครับ digital media กำลังทำให้หนังสือประเภทนี้ หลุดจากตลาดออกไปเรื่อยๆ

เราทุกคนสามารถหาข่าวพวกนี้จากfacebook หรือGoogle แล้วถามว่ามันจำเป็นต้องซื้อหนังสือแบบนี้ไหม ไม่เลยถ้ามันไม่แถมของแจก หรือ ชิงโชค

หากเราใช้สติคิดสักนิด ว่าทำไมต้องซื้อหนังสือจำพวกนี้ ทั้งๆที่เราสามารถบริโภคข่าวสารดีๆ มีสาระมากกว่าจะมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระไม่เกิดประโยชน์ เอาจริงๆ คุณอ่านเรื่องพวกนี้ ก็แค่เอาไว้เม้าท์มอยกับเพื่อนในกลุ่มสนทนา แล้วมันต่างอะไรที่เหมือนคุณรู้เรื่องคนข้างบ้าน แล้วเอาไปนินทากับเพื่อนของคุณ ก็คงไม่ต่างกับคนใช้ข้างบ้านคุยนินทาเจ้านายของตัวเอง หรือคิดว่ามันไม่จริงครับ

สุดท้ายขอฝากข้อคิดนะครับว่า ถ้าเรื่องราวมันไร้สาระ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ตัดๆมันทิ้งไปบ้าง คุณไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องบนโลกหรอก เอาที่มันต้องรู้ อากาศ ดินฟ้า เศรษฐกิจ ความรู้รอบตัว วิทยาศาสตร์ การเงิน การธนาคาร การเมือง แค่นี้ก็คงพอแหละ รู้หลายๆอย่างๆ เข้าใจและนำมาปรับใช้กับชีวิตนะครับ

แต่ถ้ายังเลือกจะเสพข่าวจำพวก ถ้าคุณรู้สิ่งนี้คุณจะต้องอึ้ง อะไรประมาณนี้ ผมก็กดunfollow เลยครับ ชีวิตทุกวันนี้แค่น้ำมันปรับขึ้น 40 สตางค์ กูก็อึ้งพอแล้ว โอเคนะ

นิทานเรื่องนี้ไม่มีบทสรุป ขอให้คุณผจญภัยตามใจเลือก
เลือกจะเสพไร้สาระ หรือ หาสาระมาเสพ

โชคดีจงมีแก่ท่าน


つづく 


mirror mirror



Friday 26 June 2015

กบในกะลา

กบในกะลา
ผมทำงานด้านการขาย งานขายของหลายๆอย่างที่ต้องพึ่งพาเครื่องมือสื่อสาร ไม่ว่าจะโทรศัพท์ เมล์ หรือแม้แต่line whatsapp wechat.  การที่มีเครื่องมือสื่อสารหลากหลายช่องทางเพื่อเป็นทางเลือก เพื่อคุยกับลูกค้า มันทีทั้งข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันไป หลายครั้งที่ผมให้ความสนใจในคู่สนทนา ในแง่มุมการเจรจา.. ผมใช้เครื่องมือเพื่อตามงาน และ ส่งข้อมูล แต่เชื่อนะครับว่า ถ้าคุณสนทนาในกลุ่ม มีคนอีกหลายๆคนที่เฝ้ามองคุณ และดูว่าคุณมีปฎิกิริยาตอบต่อสิ่งที่คุยอย่างไร 
ยกตัวอย่าง ผมมีกลุ่มไลน์อยู่หลายๆธุรกิจ มีคนมากมายหลากหลายอาชีพ บางคนลงข้อมูลด้านการขาย ซื้อ แต่เชื่อไหมว่า เขาเหล่านั้นบางคน ไม่ติดตามผลหลังจากลงข้อความ ไม่ลงเบอร์ติดต่อ เมล์ คือคุยกันแค่ทางไลน์เท่านั้น  พอถามส่วนตัวก็นานเป็นชั่วโมงกว่าจะมาตอบ.. 
คนที่กระตือรือล้นในการทำงาน จะมีความรู้สึกว่า คนๆนั้นมีเวลาลงข้อมูลทำ เหมือนคนตกปลาที่รอปลามาติดเบ็ดมากินเหยื่อ พอติด... แต่มันสายไปที่คุณจะดึงขึ้นมา..
บางครั้งเสียอารมณ์ และบรรยากาศ..ในการเจรจา.. 
กรณีนึงที่ผมเจอคือนายหน้าที่ผมฝากงาน เจอคนๆนี้ลงงานขายมากมาย แต่พอถามหลังจากเขาลงเพียงไม่กี่วินาที เขาก็หายไป แสดงว่าลงแบบforwardในหลายๆกลุ่ม แน่นอน ผมก็ตามไปถามส่วนตัว เขาตอบง่ายๆมากว่า กำลังยุ่ง... 
ครับรับทราบว่ายุ่ง แต่ใครก็ตามที่บอกว่า ยุ่ง ไม่มีเวลา คนแบบนี้เขาให้ความสำคัญในเนื้องาน หรือ ธุระที่คุณได้ฝากไว้ไหม เหมือนคนทำแบบจับจด ไม่ชัดเจน 
การตอบที่ฉลาดคือ เดี๋ยวผมมาตอบนะครับ เวลาประมาณ...... ต้องขอโทษนะครับ ขอบคุณที่ติดต่อมา นี้ต่างหากคือคนที่ฉลาดตอบ.. และต้องรักษาสัญญาว่าจะติดตามงาน และตอบตามเวลาที่แจ้งไว้ ผมเคยพูดเรื่องเครดิต ในแวดวงใดๆก็ตาม สื่อ การสื่อสารมันไปไวมาก คนพูดกันในแง่ร้าย ข่าว ข้อมูลจะแพร่ไปเร็วมากกว่าข่าวดีเสมอ.. ถ้าไม่อยากเป็นข่าวร้าย จงรักษาเครดิตของคุณ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และศักดิ์ศรี ไว้ให้ดีที่สุด 
สุดท้าย...
อย่าโกหกว่ากำลังทำงาน ตามเรื่องงาน หรือวุ่นวายกับธุระทั้งๆที่ตัวเองนั่งเล่น เพราะมันเพาะสันดานเสียๆ ที่สร้างให้คุณไร้ความรับผิดชอบ และถ้าคุณทำไม่ได้จริงๆบอกกับคู่เจรจาของคุณด้วยความสุภาพ ผมว่าไม่มีใครตำหนิ ถ้าเราพูดความจริง หลายคนที่ไม่อยากบอกความจริงเพราะคิดว่ากะลาที่ครอบไว้จะปกป้องตนได้ แต่เชื่อเถอะ อย่าคิดว่าการประวิงรั้งงานไว้จะทำให้คุณทำงานนั้นสำเร็จ เพราะคุณก็ยังไปรับงานคนอื่นเพิ่มมา ถมๆๆไว้ ถามว่าของเก่าก็ไม่จบ ของใหม่ก็ไม่เคลียร์ นานๆไปใครจะเชื่อว่าคุณทำได้ ลงท้ายคือคนรอบก็มองว่าคุณไม่มีความน่าเชื่อถือ กะลาที่ครอบก็รอแต่มีคนจะทุบ เอาไฟมาเผา เอามีดแทงทะลุกะลาให้คุณตายคากะลาแบบนั้นแหละครับ.. 
ออกจากกะลาสู่โลกความเป็นจริงและเปิดใจว่า...โลกมันกว้าง ทางมันมี และให้โอกาสตัวเองปรับทัศนะคติเสียใหม่ ยังไม่สายนะครับ
อ๊อบ อ๊อบ...

Tuesday 23 June 2015

สัมภเวสี:นักต้มตุ๋นแห่งวงการอสังหาฯ

ความเดิมจากเมื่อวาน

สัมภเวสี:นักต้มตุ๋นแห่งวงการอสังหาฯ

ผมสังเกตุการณ์ในธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์มาหลายปี สิ่งที่ผมเห็นคือคนหลายจำพวก ตั้งแต่ คนเริ่มหัดทำธุรกิจ จนถึง คนที่เป็นระดับมือพระกาฬของวงการ ผมพบเจอนายหน้าของวงการนี้ หลากหลายประเภท คนที่เป็นตัวจริง จะไม่พูดอะไรมากมาย ไม่ค่อยเล่าprofile ความสำเร็จในอดีต หรือผลงานอันรุ่งเรือง คุยเข้าประเด็น ชัดเจน ตรงมาตรงไป อาจจะมีtrick บ้างเล็กๆน้อยๆ ตามสไตล์ของจอมยุทธ อันนี้เรียกว่า ตัวจริง แต่มากกว่าครึ่งในวงการนี้ เป็นพวกจับเสือมือเปล่า ไม่สิ เรียกว่าจับควันในอากาศมากว่าครับ คือ อธิบายง่ายๆ ในธุรกิจซื้อขายอสังหาฯ ประกอบไปด้วย ผู้จะซื้อ ผู้จะขาย และ นายหน้า 
แต่ก่อนก็ง่ายครับ นายหน้าอาจจะรู้จักผู้ขาย หรือ ผู้ซื้อ แล้วก็match นัดมาเจรจา ตกลงเงื่อนไข ปิดdeal ได้เงินค่า commission สบายใจกันไป แต่ด้วยยุคสมัยเปลี่ยนไป นายหน้าเริ่มมากขึ้น  คนขายมีมากขึ้น คนซื้อก็ไม่ได้มากขึ้นตาม กลายเป็นว่า นายหน้ารับงานต่อกันหลายๆทอด กลายเป็นคำพูดในวงการการว่า สายสั้น สายยาว ยิ่งยาวแปลว่า นายหน้าต่อกันหลายๆทอด ยิ่งมากคน ก็ยิ่งมากความ เพราะเรื่องผลประโยชน์ commission ใครๆก็อยากได้มาก เป็นเรื่องปรกติ  เพราะคิดว่าตนเองสำคัญ หลายครั้งที่deal ล่มชนิดไม่เป็นท่าเพราะนายหน้าต่างไม่ยอมกัน คนที่เสียโอกาส ก็คงไม่ใช่ใคร ก็นายหน้านิแหละ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอกัน  อันนี้ชี้ให้เห็นว่า การไม่ยอมถอยกัน จะทำให้เสียงานทั้งกระบวน

วันนี้เล่าเกริ่นยาว เรื่องวงการนายหน้าอสังหาฯ มายาวเลย เข้าเรื่องเลยละกัน สำหรับสัมภเวสี ที่ผมได้พูดไว้ตอนต้นนั้น มันมีจริงครับ เริ่มด้วยจากการที่ใครสักคนได้โฉนดที่ดินมาจากเพื่อน สมมติว่าเป็นคุณเองนิแหละ ที่มีเพื่อนสนิทชื่อ นายเอ นายเอบอกคุณว่าที่ดินแปลงนี้เป็นสมบัติของเจ้าคุณปู่ อยู่ในซอยทองหล่อ กรุงเทพ เป็นบ้านเก่าเนื้อที่กว่า สิบไร่ นายเอ ผู้อยากเป็นนายหน้า ก็เริ่มไปศึกษาในอินเตอร์เน็ท ไปลงขายในเว็ปต่างๆ จนกระทั้งไปเจอ นางสาวเจน(นามสมมติ) นางสาวเจนบอกว่า ตนเองเป็นนายหน้า มีลูกค้าต้องการซื้อที่แปลงนี้ มีงบไม่จำกัด ขอให้ส่งรายละเอียดหน้าโฉนด พิกัด แผนที่ มาก่อน ทางemail , Line หรือfax (ใครยังใช้fax อยู่นิ ผมว่าอายุน่าจะเกิน 50 ไปแล้ว) ในการส่งข้อมูล

นายเอ จะคิดว่า การเป็นนายหน้ามันช่างง่ายจริงๆ หลังจากส่งไปแล้ว นางสาวเจน ก็เงียบหายไป โทรไปก็ไม่รับ ไลน์ไป เมล์ไปก็ไม่ตอบ หลังจากนั้นไม่นาน คุณเองจะได้รับโทรศัพท์มาที่บ้าน หรือมีคนแปลกหน้ามาขอพบ มาถามหาที่ดินแปลงเจ้าคุณปู่ที่ทองหล่อ นั้นแหนะ นายเอ เพื่อนคุณไม่มีทางรู้หรอก ว่าคุณกำลังจะขายที่แปลงนี้ให้กับทีมของนางสาวเจน หรือ ทางทีมของนางสาวเจนนี้แหละ ที่จะเอาข้อมูลจากคุณต่อ เพื่อเอาไปเสนอนายทุน(ซึ่งจริงๆก็ไม่มีหรอก แต่ขอเก็บข้อมุลเอาไว้ เผื่อว่าในอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะมีใครหานายทุนได จะได้มาจับmatch) คนกลุ่มนี้ทำงานกันเป็นทีม นางสาวเจน นั้นเป็นนกต่อ มีทีมงานที่เป็นระบบในการเข้ากรมที่ดิน เพื่อขอดูหลังโฉนด นำชื่อที่ได้ไปหาในระบบทะเบียนราษฎร์ เพื่อหาที่อยู่ หากทราบชื่อจริง นามสกุลจริง ก็แค่หาในGoogle ลงไป แค่นี้ก็อาจจะได้ทั้งเบอร์มือถือ และที่ทำงาน

การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวนับว่าเป็นพวกทีมงานเจาะ หน้าที่คือ เจาะหาตัวเจ้าของอสังหาฯ หรือ เจาะย้อนหานายทุน โดยจะข้ามหัวนายหน้าที่ขวางหน้าทั้งหมด จึงไม่แปลกที่ในอดีต นายหน้าบางคนจึงถูกสังหารเหี้ยมโหด

ในวงการอสังหาฯ สมัยนี้ ข้อมูลข่าวสาร การลงขายอสังหาฯ มีมากจนข้อมูลล้นตลาด บางครั้งทรัพย์ตัวเดียวกัน แต่ราคาห่างกันมาก เพราะมีนายหน้าบางคนหัวใส ฉันไม่เอาcommission แต่ฉันจะบวกราคาเพิ่มขึ้นไป ราคาอสังหาฯ บางทีจากราคา 500ล้านบาท กระโดดไปถึง 1000ล้านบาท ก็เคยมีมาแล้ว ลองคิดกันเล่นๆว่า จะแบ่งค่านายหน้ามากแค่ไหน นี้อาจจะทำให้การขายไม่จบได้ครับ

กรณีสุดท้ายที่อยากจะกล่าวคือ การรักษาชื่อเสียง เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์ เคยกล่าวไว้ว่าคนเรานั้น การรักษาเครดิตสำคัญมากๆ อย่าให้เสีย อีกอย่าง เราอย่าไปเอาเปรียบคนอื่น อยู่ในวงการนี้ถึงจะมีพรรคพวกมีคนนับถือ 2 ข้อนี้ จะส่งเสริมให้เราประสบความสำเร็จ..จำไว้! 

สิ่งที่ผมกล่าวคือ การรักษาเครดิต การที่คุณไปขอเอกสารหรือข้อมูลจากใครก็ตาม ในเรื่องอสังหาริมทรัพย์ แปลว่าคนที่ให้ข้อมูลคุณไปเขาก็หวังลึกๆว่า คุณเองจะทำให้ดิลนั้นสำเร็จ เปรียบเสมือนการซื้อสลากกินแบ่ง(หวย) นิแหละครับ ฉะนั้น หากคุณรับงานมาแล้วก็จงดำเนินมันอย่างเต็มที่ อย่านำเอาเอกสารนั้นใส่ลิ้นชักแล้วไปหาออเดอร์อื่นต่อ วันไหนนึกขึ้นได้ก็ค่อยหยิบเอามาทำงาน มันแสดงว่าคุณก็แค่คนเก็บเอกสาร เป็นตู้เก็บเอกสาร แต่คนที่เขารอคอยว่าที่ของเขาจะขายได้ไหม เขายังคงรอคอยข่าวจากคุณเหมือนเขารอไปรษณีย์มาส่งพัสดุนั้นแหละครับ

อย่าให้ความหวังกับเจ้าของทรัพย์ว่าจะขายได้แน่นอน
แต่ขอให้คุณพยามยามเต็มความสามารถในการขายหรือปิดdeal ให้ได้ ต้องพยามจริงๆนะ
และอย่าเอาเปรียบอีกผ่าย(ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม) โดยการไปนั่งกินกาแฟ แล้วให้เขาจ่ายทั้งหมด
จะทำธุรกิจกับเขา คุณต้องรู้จักคำว่าshare ไม่ใช่take กันตั้งแต่ยังไม่เริ่มงาน บอกเลยครับว่าเจอมาเยอะ อีกเรื่องที่อยากจะฝากเลยครับ เรื่องการพบเจอกันครั้งแรกระหว่างนายหน้า first impression เป็นเรื่องที่สำคัญ ถามว่าทำไมเหรอครับ คนบางคนแค่เจอกันก็ยังไม่ผ่าน ไม่ว่าจะเสื้อผ้า สีผมการแต่งตัว กิริยาท่าทาง
เคยมีอยู่กรณีนึง นายหน้าท่านนั้นมาขอเอกสารอสังหาฯกับผม มูลค่าทรัพย์ประมาณหนึ่งพันล้้านบาท            แต่ขอโทษนะครับ  การแต่งตัวไม่สมกับมูลค่าของทรัพย์ที่จะขาย (อ้างกับผมว่าติดทุนซื้อ) เคสนั้นผมให้ดู ดูอย่างเดียว แล้วดึงเอกสารกลับ บอกคำเดียวว่า ถ้าไม่พาคนซื้อมาเจอก็ไม่ต้องมารับเอกสาร สรุปว่าเคสนั้น นายหน้าคนนั้น ผมติดตามถาม โทรก็ไม่รับ และ ไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย !! 


Monday 22 June 2015

มาขายที่ดินกันไหม

เป็นเรื่องปรกติในยุคสมัยที่หลายๆคนต้องมีรายได้เพิ่ม บางคนก็หาของมาขาย ซื้อมาขายไป บางคนก็ลงทุนไปหาความรู้ในการหางานเสริม และที่นิยมไปทำคือธุรกิจเครือข่าย ...ในมุมมองผม บอกเลยนะ อะไรที่เขาทำกันเยอะมากแล้ว ถ้าคุณไปทำตาม ก็แค่ลูกไล่ แค่นั้นเอง...

...อีกหนึ่งงานที่หลายคนคิดว่าทำแล้วรวยเร็ว ได้ทรัพย์ก้อนโต นั้นคือการเป็นนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์..

เป็นอาชีพที่เงินมาไว ถ้าขายได้เร็ว ปิดจบเคสได้ไว ส่วนที่ได้ บางรายก็สามารถปลดหนี้ เริ่มต้นชีวิตอย่างสุขสบาย..
คำถามที่ทุกคนอยากรู้ มันขายง่ายอย่างนั้นเหรอ.. คำตอบคือ ไม่ง่ายและไม่ยากซะทีเดียว

ตลอดหลายปี ที่ผ่านมาผมได้เห็นพัฒนาการ(ไม่ใช่ถนนนะ) ของวงการอสังหาฯ และมุขคำใหม่ๆเสมอ อาทิ  เลขาทุน ทนายบริษัท ติดทรัพย์ ติดทุน  เหล่านี้เป็นตัวละครโผล่มาเรื่อยๆตอนใกล้จะขายได้..มากันเป็นโขลง..ก็มี
งานที่ขายสมัยนี้  พบว่ามีจำนวนมากครับ ที่ลงขายแต่คนที่ขายไม่ได้รู้จักเจ้าของทรัพย์ด้วยซ้ำ แถมที่ดิน แปลงเดียวกัน ราคาก็แตกต่าง แต่มีคนลงขายหลายคน แต่ละคนบอกว่าติดเจ้าของ เอกสารเหมือนกันเป๊ะ..แต่พอตามหาเจ้าของจริง...ตามตัวไม่ได้สักคน เพราะคนที่เป็นตัวจริงก็ ไม่รู้อยู่ไหน(เจอประจำ) กรณีแบบนี้เกิดกับแปลงดังๆ ในย่านธุรกิจการค้า..

ในวันต่อไป ผมจะพูดถึง
สัมภเวสี:นักต้มตุ๋นแห่งวงการอสังหาฯ

Sunday 21 June 2015

ทำไมต้องธุรกิจเครือข่าย

เรื่องธุรกิจเครือข่าย

หลายคนต้องเคยเจอ ด้วยเหตุผลที่มีคนทำจำนวนมาก หลายคนเจอ พบ ประสบ กับสิ่งที่คล้ายๆกันคือ
มันเหมือนลัทธิ หรือ โลก อีกใบของคนกลุ่มๆนึง

กาลครั้งนึง ผมเคยไปร่วมทำธุรกิจเครือข่าย หรือ ขายตรงที่เราๆท่านๆรู้จัก ถามว่าสินค้าดีไหม ก็ดีนะ ธุรกิจการจ่ายผลประโยชน์ดีไหม ก็ดี แต่ประเด็นที่ทุกคนไม่ชอบคือ ทำไมต้องซื้อของยี่ห้อนี้ตลอด ทำไมต้องทำแต้ม ทำยอด ทำไมต้องไปประชุม ทำไมต้องสัมมนา ทำไมต้องพาเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องมาสมัคร และคำถามอีกกเป็นพันทำไมก็เข้ามาในหัว

ถามว่าจะมีสักกี่คน ที่ไปยืนพูดบนเวที ที่คนมาฟังต้องซื้อบัตรมาฟัง โดยคนที่ชวนคุณมาฟัง จะอ้างว่าคนที่พูดจะมาช่วยปลุกแรงบันดาลใจของคุณ จะเปิดโลกธุรกิจ และที่ขาดไม่ได้ ต้องขอขอบคุณผู้เปิดโอกาสทางธุรกิจ (แนะนำชื่อupline) ให้ตายเถอะ เวลากรอกใบสมัคร จ่ายค่าสมัคร เวลามาประชุม ค่าเดินทาง เงินที่ซื้อสินค้า upline มันมาช่วยไหม เปล่าเลย เงินเราทั้งนั้น

หลังจากผมใช้เวลากว่า หกเดือนในธุรกิจดังกล่าว จึงได้ข้อสรุปดังนี้
1.เราเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคแบบสมบูรณ์แบบไม่ได้ หมายถึง ใช้ทุกสิ่ง ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างของเครือข่ายไม่ได้หรอก
2. ธุรกิจนี้ คือการหาผลไปยังเหตุ หมายถึง upline ระดับสูง จะโชว์ภาพความสำเร็จ เช่น รถหรู การท่องเที่ยว การใช้ชีวิต (ซึ่งนั้นคือผล)และลากมาโยงถึงว่าเหตุ คือ ธุรกิจเครือข่าย จึงเป็นที่มาของการได้มาของสิ่งเหล่านั้น
3. ผมเสียเพื่อนดีๆ และคนรู้จัก เหมือนพอรู้ว่าผมทำธุรกิจเครือข่าย ก็คล้ายๆกับผมไปเข้าลัทธิจานบินย่านปทุมธานี พอไปเข้ากลุ่มไหนก็แตกกระเจิงกันหมด

กล่าวง่ายๆคือ มันไม่เหมาะกับคนที่คิดนอกกรอบ คนที่คิดว่าเวลาเท่าๆกัน สามารถทำอะไรที่มากกว่าการพาคนไปประชุม และการหาเลี้ยงชีพที่สมฐานะ

ผมให้คำแนะนำสำหรับคนที่คิดว่าอยากทำ ธุรกิจเครือข่ายนะครับ
- ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ พูดเรื่องเดิมๆ เล่าเรื่องเดิมให้หลายๆคนฟังบ่อยๆ อย่าทำ
- ถ้าคุณเป็นคนใจไม่เย็นพอ ที่จะฟังคำโต้แย้ง คำปฎิเสธ คำคัดค้าน จากทุกคนที่รู้จัก ก็ อย่าทำ
- ถ้าคิดว่ามันคืออาชีพสุดท้ายของชีวิต งาน หรือ ภารกิจ สุดท้าย ที่บางคนบอกว่า เหนื่อยชั่วคราว สบายชั่วโคตร จงอย่าเชื่อ เพราะ ถ้ามันสบายจริงๆ upline ที่อยู่ในธุรกิจนี้ ทุกวันนี้ มันไม่ต้องมาพูดบนเวทีหรอก
- จงดูคนที่ทำธุรกิจนี้ก่อนคุณ ดูว่าเค้าเหนื่อยแค่ไหน แล้วเค้าสำเร็จแค่ไหน กับเพื่อนอีกคนที่ทำธุรกิจส่วนตัว จงเปรียบเทียบกัน และใช้หัวสมองคิดเอาเอง

สุดท้าย ธุรกิจเครือข่าย ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของคนที่ไม่อยากเป็นมนุษย์เงินเดือน มนุษย์เงินเดือนทุกคนอยากออกนอกกรอบ แต่ก็กลัวที่จะต้องออกจาก safety zone เอาหล่ะ ผมจะบอกในตอนต่อไป ว่าทำยังไงให้เป็น คิดนอกกรอบ ในสไตล์ที่ควรเป็น